วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 5: ไปหลวงพระบางสุดสุขีต้องไปกับทัวร์ฉี่)



หลังจากเมื่อคืนก่อนอิ่มหนำสำราญกับอาหารเย็นแซ่บหลาย (ชื่อร้านจำไม่ได้) ในตัวเมืองวังเวียงแล้ว เช้านี้ทำให้พี่วัฒน์และผู้เขียนตื่นขึ้นมาแต่เช้าพร้อมๆ กัน (เราสองคน share ห้องกัน) เนื่องจากท้องคงร้องเรียกอยากกินอะไรหรอยอีก (ตรรกะนี้ใช้ได้กับผู้ที่ชอบอาหารการกินเท่านั้น)

ในขณะที่เพื่อนร่วมทางอีก 4 คน ยังคงนอนอยู่ในห้อง เราสองคนลงความเห็นกันว่าน่าจะเดินออกไปนอกเฮือนพัก เพื่อไปดูบรรยากาศยามเช้าของวังเวียงก่อนที่สายๆ เราจะเดินทางไปหลวงพระบาง ซึ่งในเวลาต่อมาเราสองคนก็ออกมาชมบรรยากาศยามเช้าที่ลานหน้าเฮือนพักที่เป็นสนามบินเก่าของเมืองวังเวียง ซึ่งตาม

ประวัติสนามบินแห่งนี้อเมริกาเป็นคนสร้างสมัยที่มีสงครามในประเทศลาว น่าจะเป็นช่วงยุคสงครามเย็นหรือเปล่าที่ช่วงนั้นเป็นการแข่งขันของสองเจ้าลัทธิคือฟากฝั่งเสรีโดยอเมริกาและฝั่งคอมมิวนิสต์คือสหภาพโซเวียต ก็น่าจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนอายุประมาณ 10 ปี อยู่ชั้นประถม เพราะจำได้ว่าเช้าๆ เนี่ยตอน


เคารพธงชาติเสร็จ ที่โรงเรียนจะเปิดเพลงปลุกใจประกอบการออกกำลังกายของเด็กนักเรียน เนื้อเพลงเหมือนจะขึ้นต้นว่า "ไทยรวมกำลังตั้งมั่น จะสามารถป้องกันขันแข็ง ถึงแม้ว่าศัตรูผู้มีแรง มายุทธ์แย่ง ก็จะปลาตไป ขอแต่เพียงไทยเราอย่าผลาญชาติ ร่วมชาติ ร่วมจิตเป็นข้อใหญ่ ไทยอย่ามุ่งร้ายทำลายไทย จงพร้อมใจ พร้อมกำลัง ระวังเมือง ให้นานาภาษาเขานิยม ชมเกียรติยศ ฟูเฟื่อง ช่วยกันบำรุงความรุ่งเรือง ให้ชื่อไทยกระเดื่องทั่วโลกา ช่วยกันเต็มใจ ใฝ่ผดุง บำรุงทั้งชาติ ศาสนา ให้อยู่จนสิ้น ดินฟ้า วัฒนาเถิดไทย ไชโย"(ไม่รู้ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง มีข้อสังเกตอยู่อย่างทำไมในเนื้อเพลงบำรุงแค่ชาติ กับศาสนา แล้วพระมหากษัตริย์ละ คนเขียนเพลงนี้ลืมไปเหรอ ใครรู้ช่วยบอกที)

น่าแปลกที่ยังจำมาได้ถึงบัดนี้ทั้งๆ ที่เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าผู้ใหญ่ชอบพูดเรื่องคอมมิวนิสต์ให้เด็กๆ อย่างเราฟัง เล่าให้เราเห็นภาพซะว่าระบบการปกครองคอมมิวนิสต์เนี่ยเหมือนปีศาจร้าย ถ้าประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์เนี่ยเด็กๆ อย่างเราต้องตกระกำลำบาก ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ต้องปันข้าวกิน อะไรทำนองเนี้ย ในสมัยนั้นคนไทยกลัวกันมากกับคำทำนายของพวกฝรั่งเกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนว่าประเทศไทยจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ต่อจากประเทศเพื่อนบ้านที่โดนกระแสโดมิโนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ล้มจนราบคาบแล้ว ซึ่งรวมทั้งลาวด้วย

แต่พอเราโตขึ้นมาได้ผ่านประสบการณ์อะไรมา และแถมยังได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาก็เห็นว่าสิ่งที่เราได้รับรู้มาสมัยตอนเด็กๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราจินตนาการ อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปทำให้ระบอบอะไรอย่างนั้นต้องลดความเคร่งครัดลงมา เช่น ที่จีน เป็นต้น (ยกเว้นที่เกาหลีเหนือกับคิวบา หรืออาจจะมีอีกหลายประเทศที่ประชาชนยังตกอยู่ในเงามืดแห่งความหวาดกลัวผู้นำคอมมิวนิสต์) แต่ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าชื่นชมอะไรกับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์นะ ถ้าไปดูข้อเขียนแรกจะเห็นได้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่รักและเทิดทูนในหลวง ดังนั้นเจตนารมย์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเป็นคนยึดมั่นในระบบกษัตริย์อย่างแน่นอน เป็นข้าราชการของในหลวง :) เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าบางสิ่งบางอย่างที่เป็นจุดแข็งหรือจุดดีเราอาจมาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมหรือกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าจะพูดให้ชัดคือถ้าเราพูดถึงคอมมิวนิสต์เราจะนึกถึงระบบผูกขาดในเชิงการเมืองโดยผู้ปกครอง ในขณะที่โลกเสรีให้สิทธิทางการเมืองแก่ผู้ถูกปกครอง ตามความคิดของผู้เขียนประเทศไทยเราก้าวกระโดดข้ามขั้นไปหลายขั้นทีเดียว เราไม่มีโอกาสได้ก้าวเดินอย่างช้าๆ และก็ชมนกชมไม้ ค่อยๆ นำพาประเทศไปในวิถีที่ควรจะเป็น ที่เห็นได้ชัดคือเราไม่ได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนให้เข้าใจสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นบ้านเมืองก็เลยยังถูลู่ถูกังอย่างที่เห็นกันอยู่ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีความพร้อมดังนั้นถ้าช่วงปี 2475 การปกครองกึ่งๆ ผูกขาดจากผู้ปกครองที่มีทศพิธราชธรรมแบบราชาธิปไตยยังคงใช้อยู่ บ้านเมืองอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นก็ได้ อ้อ ข้อสังเกตอีกอย่างนึงคือเนื้อเพลงปลุกใจเพลงนี้น่าจะยังคงร่วมสมัยอยู่ เพราะปัจจุบันนี้เรายังคงมีคนผลาญชาติที่ใส่เสื้อแดง

พูดเรื่องการบ้านการเมืองมาซะเยอะเชียว ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะพูดแค่ที่มาที่ไปของสนามบินเก่า :) วกกลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า พอเห็นบรรยากาศช่วงเช้าแล้ว รู้สึกดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ได้พบเจอกับความประพฤติที่น่ารังเกียจของฝรั่งที่แม่น้ำซองเมื่อเย็นวาน เช้าวันนี้มีเสียงไก่ขัน มีน้ำค้างและอากาศเย็นนิดหน่อย ตรงท้องถนนข้างหน้าลานสนามบิน นานนานจะมีรถผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถโดยสารที่น่าจะไปทางหลวงพระบาง ได้ยินมาว่ามีรถจากเวียงจันทน์วิ่งไปหลวงพระบางช่วงกลางคืนด้วย ถ้าใครสนใจจะเดินทางไปหลวงพระบางช่วงกลางคืนเพื่อประหยัดเวลาก็คงต้องตรวจสอบกัน แต่ถ้าถามใจผู้เขียนน่าจะเดินทางช่วงกลางวันดีกว่าเพื่อความปลอดภัย

มองเข้าไปในบางบ้านเห็นควันลอยออกมา ทำให้รู้ว่าแม่บ้านกำลังหุงหาอาหารให้คนในครอบครัว บรรยากาศแบบนี้ทำให้จิตใจสงบ นิ่ง เย็น มันไม่เหมือนกับทุกๆ เช้า ที่เราอยู่ในกรุงเทพฯ ตื่นตั้งแต่ตีห้า ต้องรีบร้อนทำกิจกรรมส่วนตัวให้เสร็จ ออกจากบ้านก่อน 6 โมงครึ่ง ไม่งั้นอาจจะไปทำงานสายได้ ออกมาแล้วยังต้องผจญกับรถติด ฝุ่นควันสารพัด ทำให้เราไม่มีโอกาสสำรวจจิตใจตนเอง ใจเราเพริดไปกับสถานการณ์รอบข้าง แต่พอมาเที่ยวที่นี่แล้วเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง สงบเงียบ ธรรมชาติสวย ที่วังเวียงนี้มีคนมากมายเปรียบเทียบว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองลาว หรือบางคนก็บอกว่าเป็นปายของเมืองลาว สำหรับผู้เขียนแล้วคงจะพูดประโยคแบบนั้นไม่ได้เพราะไม่เคยเดินทางไปทั้งกุ้ยหลินและอำเภอปาย แต่ที่แน่แน่ขณะนี้กำลังชื่นชอบบรรยากาศของวังเวียงตอนเช้าเสียเหลือเกิน



เราสองคนเดินเล่นอยู่ในเมืองพักใหญ่ เริ่มเดินตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มโผล่ที่ริมขอบฟ้าเป็นแสงสีส้มสวยเหมือนเสื้อผู้เขียน (คืออยากจะ hint ว่าไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงนะ เพราะตอนนี้ไม่ชอบสีแดง 555) ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับที่พักได้แล้ว พอเราสองคนมาถึงก็เจอกับพี่ๆ อีก 4 คนที่หน้าเฮือนพัก ก็เลยชักรูปกันหน่อยเป็นที่ระลึก จากนั้นเราก็มีความเห็นตรงกันว่าสมควรแก่เวลาของอาหารเช้าแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ก็เลยบอก "บุญ" ว่าช่วยพาไปร้านอร่อยๆ หน่อย บุญก็เลยขับรถพาไปในเมืองวังเวียงซึ่งก็ใช้เวลานิดเดียวเพราะเมืองเขาเล็กๆ ร้านอาหารก็เป็นเรือนแถวติดๆ กัน ขายอาหารเหมือนกันคือ"ข้าวเปียก" (โจ๊กบ้านเราน่ะละ) และก็ "เฝอ" ซึ่งมีทั้งหมู ไก่ เนื้อ

พวกเราเลือกร้านที่มีคนกินเยอะๆ ตาม concept เดิม ในกลุ่มเรามีคนสั่งทั้งเฝอและข้าวเปียก บนโต๊ะก็มีเครื่องปรุง พริกป่น น้ำปลา ซ๊อส ซีอิ้ว สารพัดเหมือนบ้านเราไม่มีผิด พลิกดูฉลากน้ำปลาภาษาไทยหราเลยว่าตราปลาหมึก มองไปรอบๆ สินค้าของไทยทั้งนั้น ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว จนกระทั่งน้ำดื่มในตู้แช่ กำลังดูอะไรเพลินๆ อยู่ในร้านก็ได้ยินเสียงป้าศรีร้องเอะอะขึ้นมา ก็เลยหันไปดูแก ปรากฏว่าแกใส่ผงชูรสในเฝอแกไปช้อนชาใหญ่ๆ เลยมั้ง ก็เลยมานึกได้ว่ามีคนเคยเตือนมาเหมือนกันว่าที่ลาวนี่เขาชอบใช้ผงชูรสปรุงอาหารมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุป หรืออะไรก็ตาม เราก็ไม่นึกว่าเขาจะมีผงชูรสอยู่ในพวงเครื่องปรุงบนโต๊ะด้วย ป้าศรีแกก็คิดว่าเป็นน้ำตาลเลยใส่ไปซะช้อนเต็มๆ เลยมั้ง ก็เลยขอฝากไว้ว่าหากมากินอาหารที่ลาวแล้วคิดจะตักเครื่องปรุงที่คิดว่าเป็นน้ำตาลให้ดูดีดีเสียก่อนนะจ๊ะ หลังจากนั้นพวกพี่ๆ เขาปิดท้ายอาหารเช้าด้วยกาแฟลาว และโอวัลติน ป้าศรีชักชวนผู้เขียนให้ลองสั่งกาแฟลาวมาชิม บอกว่าอร่อยดี และก็เหมือนเดิมกับที่เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนที่สองว่าผู้เขียนไม่สั่งทั้งๆ ที่เป็นคอการแฟ (ยังไม่เฉลย อิอิอิ)

เสร็จจากอาหารเช้าแล้ว เราก็ต้องเดินดูตลาดเช้าของเมืองวังเวียง บรรยากาศก็เหมือนกับตลาดในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ของที่นี่มีของป่ามาขายมากมาย เช่น ลูกกวาง (เห็นพี่วัฒน์บอกว่าเพิ่งออกมาจากท้องแม่ เพราะขนยังอุยอุยอยู่ น่าสงสารจัง ไม่รู้ตายเองหรือเปล่า) กระรอก ตัวอ้น อะไรยังเงี้ย (ได้แต่ดูเฉยๆ ไม่ได้ถ่ายรูปมาสงสารมัน) ของที่นี่ราคาค่อนข้างแพง (เราคิดว่าเขาขายราคานี้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างถิ่นนะ) ทำไปทำมาเราก็ซื้อได้เฉพาะส้มพื้นเมืองมา 3 กิโล (ก็อร่อยดี)

เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว เราก็กลับไปเฮือนพัก pack กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปหลวงพระบางที่หมายของเราทันที เราออกเดินทางจากวังเวียงไม่สายมากนัก โดยบุญบอกเราว่าน่าจะถึงหลวงพระบางไม่น่าจะเกิน 4 โมงเย็น ถึงแม้ว่าระยะทางจากวังเวียงห่างจากหลวงพระบางประมาณ 210 กิโลเมตร แต่ทางที่เป็นเขาสูงชัน ลูกแล้วลูกเล่า ก็ไม่สามารถทำให้บุญขับรถได้เกิน 70 กม./ชม. อีกอย่างหนึ่งบุญเห็นว่าผู้โดยสารออกจะมีอาการเมารถ โดยเฉพาะผู้โดยสารเบาะหลังคือป้าศรี พี่นิ เจ๊หวาด ก็เลยจำกัดความเร็วให้ไม่เกินนั้น ส่วนผู้เขียนรอดตัวไปเพราะเปลี่ยนที่มานั่งกับพี่อ้อยที่เป็นเบาะข้างคนขับ เพราะได้บทเรียนเมื่อตอนนั่งรถจากเวียงจันทน์มาวังเวียง คราวนี้สบายเลย นั่งชมนกชมไม้มาตลอดทาง





เส้นทางระหว่างวังเวียงถึงหลวงพระบางนั้นเราต้องขับผ่านหมู่บ้านชาวเขาหลายแห่งเลย ก็ได้สังเกตว่าเขานิยมที่จะทำไม้กวาด โดยไปหาต้นไม้กวาด (เขาเรียกกันอย่างนี้หรือเปล่า) มาตีๆ และก็ตาก ลูกเด็กเล็กแดงก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน ลากต้นไม้กวาดมาจากทางที่ไกลๆ มาที่บ้าน บางที่ก็เห็นเด็กชาวเขาเป็นกลุ่มๆ เลย เดินไปโรงเรียน เห็นแล้วก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจถึงความแตกต่างของชีวิตคน ในขณะที่เด็กในสังคมเมืองโดยเฉพาะในบ้านเรา พ่อแม่ต้องประเคนให้ทุกอย่างจนได้ชื่อว่าเป็น helicopter parents ในขณะที่เด็กอีกสังคมหนึ่งเขาต้องดิ้นรนในการใช้ชีวิต จนบางครั้งเด็กที่ได้รับการเอาใจใส่จนเกินเหตุจาก helicopter parents เมื่อประสบกับวิกฤตการณ์ชีวิต ก็ไม่สามารถฝ่าด่านปัญหาได้ เพราะพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ให้ต้องยากลำบาก ดังนั้นเราจึงได้ยินข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำเลยว่า เด็กวัยรุ่นฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังเรื่องความรัก ผลการเรียนตกต่ำอะไรทำนองเนี้ย ผู้เขียนเองตอนเด็กๆ ก็โดนพ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจเหมือนกันนะ เพราะเป็นลูกคนเดียว ดีแต่ว่าสมัยก่อนปัญหาสังคมอาจไม่ซับซ้อนเท่าสังคมยุคใหม่ เลยรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้



ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปเมื่อเห็นว่ามีจุดไหนที่วิวสวย และเรายังผ่านชุมชนเล็กชุมชนน้อย ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเช่น เมืองกาสี นับว่าเป็นการศึกษาสังคมวิทยานอกห้องเรียนที่ดีมากๆ และช่วงเที่ยงๆ เรามาแวะพักรถถึงชุมชนใหญ่ตรงทางแยกที่จะไปทุ่งไหหินกับทางแยกที่จะไปหลวงพระบาง ชื่อแยกพูคูน ซึ่งที่นี่มีชาวเขานำของมาขายมากมาย เราแวะพักตรงนี้นอกจากแวะเพื่อพักอิริยาบทแล้ว เราต้องแวะเข้าห้องน้ำที่ร้านอาหาร ที่นี่เขามีบริการห้องน้ำสะดวกสบายแต่ต้องเสียค่าเข้าราคามาตรฐานคนละ 5 บาท ทัวร์ของเรานั้นได้ชื่อมากเรื่องการแวะเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวแวะปั๊ม เดี๋ยวแวะร้านอาหาร จนกระทั่งผู้เขียนตั้งชื่อทัวร์นี้ว่าทัวร์ฉี่ อิอิอิ

เรามาแวะกินข้าวกลางวันที่หมู่บ้านกิ่วกระจำ (ไม่แน่ใจว่าจำชื่อผิดหรือเปล่า) ตอนเกือบบ่ายแล้ว ที่นี่มีทัวร์มาแวะกินข้าวกันมากมายเลย ทั้งกลุ่มที่จะเดินทางไปหลวงพระบาง และกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากหลวงพระบาง สังเกตว่านักท่องเที่ยวแทบจะทั้งหมดเป็นคนไทย มีฝรั่งปนๆ มาเหมือนกัน แต่นักท่องเที่ยวไทยและฝรั่งจะแตกต่างกันในเรื่องของการเลือกพาหนะเดินทาง คนไทยชอบความสบายเลยเหมารถตู้ หรือบางทีก็รถเก๋งใช้เดินทาง ที่ผู้เขียนเห็นเป็นรถจากฝั่งไทยจำนวนไม่ใช่น้อยเลย ที่เข้าไปขับในลาว ทะเบียนกทม. ก็เยอะ ขณะที่ฝรั่งส่วนใหญ่นิยมนั่งรถโดยสาร หรือบางพวกมีเวลามากหน่อยก็ปั่นจักรยาน ใช้เวลาแรมวันแรมคืนเหมือนกันจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง สำหรับเมนูมื้อกลางวันของเราแน่นอนว่าต้องมีไข่เจียวหมูสับ ผัดผักรวม (อร่อยทุกอย่าง) เอาละตอนนี้เราใกล้ถึงหลวงพระบางแล้ว อีกไม่กี่อึดใจ แล้วไว้พบกันที่หลวงพระบางตอนหน้าจ้า












วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 4: แม่น้ำซอง ห่วงยาง ฟูลซันปาร์ตี้และไข่เจียวหมูสับ)

















เรามาถึงวังเวียงประมาณบ่ายสามโมงเศษ โดยใช้เวลาเดินทางจากเวียงจันทน์มาวังเวียงประมาณสามชั่วโมง ทั้งๆ ที่ระยะทางประมาณ 120 กม. เพราะต้องขับขึ้นเขาวกไปวนมา และเป็นอย่างที่ทราบๆ กันว่ากลุ่มเราเดินทางแบบไปหาทุกสิ่งอย่างเอาข้างหน้า ดังนั้นจึงยังไม่มีการจองที่พักใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว มีใครบางคนในกลุ่มเราพูดขึ้นมาดังดังว่า "ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พัก ที่นี่มีที่พักจำนวนมากรองรับนักท่องเที่ยว สู้เราเอาเวลานี้ไปเที่ยวรอบเมืองวังเวียงกันก่อน แล้วค่อยไปหาที่พักช่วงเย็นๆ โน่นเลย" และเป็นอันว่าทุกคนในกลุ่มเห็นด้วยตามนั้น ดังนั้นต่อมาพวกเราจึงมาปรากฏกายที่ "ถ้ำจัง" ตามคำแนะนำของบุญ พวกเราเดินดูรอบๆ แต่ไม่มีใครประสงค์จะเดินเข้าไปในถ้ำ อันเนื่องมาจากต้องเดินขึ้นขั้นบันไดไปร้อยกว่าขั้นประการหนึ่ง และต้องเสียค่าเข้าไปชมอีกประการหนึ่ง ที่ประเทศลาวนี้จะเข้าดูอะไรจะต้องเสียเงินค่าผ่านทางยิบย่อยทุกที่ ซึ่งอาจจะดูเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจสำหรับหลายๆ คน แต่เราคงต้องทำความเข้าใจสภาพและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เข้าทำนองเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม (do as the Roman do)





เราเที่ยวเดินชมธรรมชาติบริเวณภายนอก "ถ้ำาจัง" พร้อมกับกินกล้วยปิ้ง มันปิ้งราคาไฮโซ (แปลว่าแพง และแม่ค้าแกมีกลยุทธ์ขายที่ฉลาดหลักแหลมเป็นที่ยิ่ง เพราะพวกเราจ่ายเงินเป็นเงินไทยแต่คนขายบอกไม่มีเงินทอนเป็นเงินไทย เลยขอให้เราใช้เงินที่เหลือที่จะเป็นเงินทอนซื้อกล้วยกับมันปิ้งของแกเพิ่มเติม เป็นไงล่ะ marketing strategy ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ :) แต่ยังไงซะสาวไทยเราเด็ดกว่า คราวนี้เป็นคิวแสดงของ "พี่อ้อย" ซึ่งพี่อ้อยยื่นคำขาดเลยว่าไม่ซื้อเพิ่ม ให้ไปหาเงินทอนไม่งั้นไม่ซื้อ สุดท้ายแกก็ไปหาเงินทอนให้เราจนได้ แหมเด็ดจริงๆ คราวหน้าเวลาใครจะไปซื้อของขอให้ชวนพี่อ้อยไปด้วยนา)

พอออกจากถ้าจังแล้วก็มาถึงแสงสูงของการมาวังเวียง (อ้าว งงละสิ ก็ไฮไลท์ไง อิอิอิ) งานเนี้ย"พี่วัฒน์"ขอมาเชียวนา ก็จะอะไรซะอีก ก็คือการล่อง"แม่น้ำซอง"ด้วยการนอนบนห่วงยางน่ะเอง (ลองดูภาพประกอบของแต่ละนางเอาเหอะ งานเนี้ยไม่มีคำบรรยาย "พี่อ้อย" กับผู้เขียนไม่ได้ลงไปด้วย สมัครใจรออยู่ริมตลิ่งเฝ้าทรัพย์สมบัติของเพื่อนร่วมทาง)
แต่จะบอกอะไรให้ กว่าจะเห็นตามภาพที่เล่นสนุกกันบนห่วงยางอะนะ ต้องใช้ความพยายามมากๆๆๆๆ เนื่องจากห่วงยางเนี้ยเขามีบริการให้เช่า คิดเป็นชั่วโมงหรืออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่มีคนเช่าไปหมดแล้วคือพวกฝรั่งหัวแดงแดงที่มาอยู่ที่นี่กันเต็มไปหมด



พูดถึงฝรั่งพวกนี้ก็อดที่จะเล่าให้ฟังไม่ได้ว่า ที่วังเวียงเนี้ยตามริมแม่น้ำซองมีฝรั่งพวก backpack มาสิงสถิตย์อยู่เป็นจำนวนมากเลยเชียวละ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ก็มีแต่น้อย แล้วพวกเนี้ยน่ะนะกลางวี่กลางวันแท้แท้ ก็ยังอยากจะทำรักกันโดยไม่สนใจและเกรงใจคนท้องถิ่นเอาซะบ้างเลย กอดจูบลูบคลำกันให้โจ่งครึ่ม กินเหล้าเมายา (สันนิษฐานว่าเสพยาเสพติดกันด้วยนะ เพราะเห็นผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งทำท่าทางแปลกๆ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ และก็ไม่ใช่อาการเหมาเหล้านะ เพื่อนต้องเขามาช่วยประคอง) เปิดเพลงกันให้สนั่นหวั่นไหว เห็นแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศมันคล้ายๆ กับที่เกาะพงันบ้านเรา ที่ฝรั่งมาจัดฟูลมูนปาร์ตี้ แต่ที่วังเวียงเนี่ยต้องเรียกฟูลซันปาร์ตี้ เพราะเป็นเวลากลางวันแสกๆ เลย มาคิดดูแล้วฝรั่งพวกนี้ (อันนี้ไม่ได้ว่าเหมารวมฝรั่งทุกคนนะ คนดีเขาก็มี) เหมือนคนไร้ซึ่งวัฒนธรรม ไม่เคารพจารีตประเพณีของท้องถิ่น ลองนึกภาพซิ จารีตของประเทศลาวที่งดงาม ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่รีบร้อน กับพฤติกรรมของฝรั่งพวกนี้ พวกนี้เนี่ยนะไปถึงไหนทำให้สังคมเขาเสื่อมที่นั่น ลองดูบ้านเราเป็นตัวอย่างก็ละกัน ไม่อยากจะวิจารณ์มากและ แต่รู้สึกไม่ประทับใจอย่างมากกับที่วังเวียงนี้ และรู้สึกเสียดายแทนหากรัฐบาลลาวปล่อยปละละเลยให้พวกนี้มาทำอะไรหยาบโลน ขัดต่อวัฒนธรรรมและจารีต เพราะประเทศไทยเราก็เรียกว่าแทบจะสูญเสียวัฒนธรรมที่ดีไปหมดแล้ว เลยไม่อยากให้ลาวเขาต้องมาเจอความเสื่อมเหมือนบ้านเรา

หลังจากพี่ๆ เขาพออกพอใจกับการมาถึงวังเวียงด้วยการนอนเล่นบนห่วงยางเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากพอดู ก็เอาละถึงเวลาหาสถานที่พักผ่อนนอนหลับซะที พวกเราก็ยังคงมั่นใจว่าที่พักหาได้ง่ายดาย เราเลยไม่รีบร้อน บุญเองก็ทำหน้าที่ได้ดีเป็นทั้งสารถีและไกด์ภายในตัว บุญถามพวกเราว่าต้องการห้องพักประมาณไหน อู้ยพวกเราเลยเสนอเงื่อนไขซะ อย่างต้องติดแม่น้ำซองเงี้ยเพราะอยากดูวิวธรรมชาติ (ถึงเวลาจริงๆ ไม่เห็นใครทำได้อย่างที่ว่าเลย เห็นเข้านอนกันเงียบ) หรือต้องมีเครื่องทำน้ำอุ่น (อะนะ อันนี้สมเหตุสมผล เพราะอากาศค่อนข้างเย็น) ราคาห้องคู่ไม่เกินห้องละ 600 บาท (อันนี้อย่าตกใจ เพราะเป็นราคามาตรฐานของที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ตามทีเพราะที่พักที่ลาวนี้ถูกมาก) บุญก็ดีจริงเลยขับรถพาพวกเราตระเวณหาที่พัก ปรากฏว่าที่พักที่เข้าเงื่อนไขเราทั้งสามอย่าง ที่ไหนๆ ก็เต็ม แต่มีอยู่ที่เข้าเงื่อนไขสองข้อแรก แต่ราคาสุดโหดห้องละพันกว่าบาทได้มั้ง สะดุ้งเลยพวกเรา ถอยดีกว่า สุดท้ายเลยบอกบุญไปว่าที่ไหนก็ดีที่ราคาไม่เกินห้าร้อยบาท (ป้าศรียังมีแถมอีกนะอยากอาบน้ำอุ่นด้วย) ทำไปทำมาเราก็มาได้เฮือนพักแถวๆ สนามบินเก่าในวังเวียง ก็พออยู่ได้ พอได้ที่พักแล้วเราค่อยโล่งใจหน่อย พอเก็บข้าวของแล้ว ก็ออกมากินข้าวเย็นกัน วนๆ ดูอยู่สักพักก็เห็นมีอยูร้านหนึ่งท่าทางน่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเต็มไปหมด ทั้งหัวแดงหัวดำ เราก็เลยใช้ concept พี่นิว่าร้านไหนคนเข้าเยอะร้านนั้นต้องอร่อย เลยเข้าไปนั่งเอ้เต้ทั้งหมด 7 คน รวมบุญด้วย สั่งอาหารสุดยอดไฮโซ เช่น ผัดผักรวม ต้มยำปลา และที่ไฮโซสุดคือ ไข่เจียวหมูสับ และ
ก็สั่งอะไรอีกหลายอย่าง เบ็ดเสร็จแล้วจ่ายไม่ถึงพันมั้ง ราคาก็พอเหมาะพอสมไม่แพง รู้สึกทุกคนจะติดใจไข่เจียวนะเนี่ย เราเดินรอบๆ ข้างในตัวเมืองวังเวียงอยู่ครู่ใหญ่ ก็เห็นว่าน่าจะกลับไปพักกันได้แล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อไปหลวงพระบางจุดมุ่งหมายของเรา
ยังไงซะตอนนี้ราตรีสวัสดิ์ก่อนนะ



















































































วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 3: เวียนหัวจากเวียงจันทน์ยันวังเวียง)















และแล้วเราก็มาถึงเวียงจันทน์เมื่อประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 7 กุมภาพันธ์ บรรยากาศโดยทั่วไปของบริเวณขนส่งคล้ายๆ กับสถานีขนส่งในต่างจังหวัดของไทย นอกจากนั้นก็จะมีผู้คนที่ประกอบอาชีพให้บริการรถตู้ รถเช่า สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ เดินเข้ามาถามนักท่องเที่ยวว่าจะใช้บริการหรือเปล่า เท่าที่สังเกตคนที่ประกอบอาชีพนี้มีจำนวนมากเลย เพราะทันทีที่รถเข้าเทียบสถานี คนเหล่านี้ก็จะกรูมาทีเดียว ไม่ยกเว้นกลุ่มเราด้วย ทีแรกมีหนุ่มลาวคนหนึ่งเข้ามาถามกลุ่มเราว่าจะไปไหนต่อ พี่นิในฐานะหัวหน้าคณะกลายๆ เพราะเป็นผู้หาข้อมูลการเดินทางมามากที่สุด ตอบหนุ่มคนนั้นไปว่าจะไปวังเวียง หนุ่มคนนั้นเลยเสนอรถตู้ให้เรานั่งไปโดยคิดค่าเดินทางคนละ 350 บาท และอาจจะมีผู้โดยสารคนอื่นนั่งไปด้วยเพราะคณะเรามีแค่ 6 คน ในขณะที่รถตู้มีที่นั่งสำหรับ 12 คน และรถจะออกเวลาช่วงเกือบเที่ยง

พวกเราก็เลยหันหน้ามาปรึกษาหารือว่าจะคิดอ่านกันประการใดดี จะรับข้อเสนอของหนุ่มลาวนั้นไม๊ (แหมถ้าเป็นข้อเสนอขอสาวสาวกลุ่มเราแต่งงาน คงไม่มีใครคิดนานอย่างนี้หรอก คงตอบรับไปเลยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา อิอิอิ ลืมบอกไปว่ากลุ่มเราเป็นผู้ใช้คำนำหน้านามว่านางสาวกันทุกคนเลย แต่ละคนใสปิ๊งถึงแม้อายุอานามจะขึ้นเลข 5 กันไปแล้ว ยกเว้นผู้เขียนนะเป็นเด็กที่สุดในกลุ่มจ้า และไม่ค่อยเป็นสุภาพสตรีเท่าไหร่) หลังจากหารือกันพักใหญ่เราก็ได้ข้อสรุปว่าน่าจะรับข้อเสนอขอแต่งงาน เอ้ย ไม่ใช่ ข้อเสนอการจัดรถตู้ของหนุ่มลาวคนนั้น เพราะถึงแม้จะไม่ตรง concept ที่พวกเราตั้งไว้แต่แรกว่าจะเป็นการเดินทางแบบเป้สะพายหลัง (ก็ backpack ไง) โดยจะต้องเดินทางแบบไปตายเอาดาบหน้าและต้องประหยัด เช่น การนั่งรถบัสสาธารณะ อะไรเงี้ย แต่เมื่อคณะเรามาคิดคิดดูแล้ว คิดว่านั่งรถบัสไปวังเวียงท่าจะไม่ได้การคงใช้เวลานานมากกว่าจะถึง และคงสะบักสะบอมไปซะก่อนถึงหลวงพระบาง และแต่ละคนดูแล้วอาจจะ backpack ไม่ไหวโดยเฉพาะป้าศรี เอาก็เอา พอเราตอบรับข้อเสนอเท่านั้นละหนุ่มลาวนั่นกุลีกุจอนำสัมภาระเราไปฝากไว้ที่ร้านขายเครื่องดื่มใกล้ๆ กัน และก็นัดแนะกับพวกเราเป็นดิบดีว่า รถจะออกเวลาก่อนเที่ยงนิดหน่อย ระหว่างนี้ให้เราไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงกันข้ามกับขนส่ง ซึ่งห้างนี้เป็นห้างเดียวในเวียงจันทน์ พวกเราก็เลยไปหาอาหารกลางวันกินกันที่ห้างนี้แหละ มี food court อยู่ชั้น 3 แต่อาหารไม่ค่อยจะถูกปากเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นอาหารคล้ายๆ ของไทยก็ตามที เสร็จสรรพดีแล้วเราก็เดินข้ามถนนมาที่ขนส่งเพื่อมาเจอหนุ่มคนนั้นอีกทีเพราะได้เวลานัดแล้ว

พอมาถึงอาการเริ่มต้นของความวิงเวียนก็เกิดขึ้น เมื่อหนุ่มคนนั้นบอกว่า คงจะเดินทางไปตามกำหนดนัดเดิมไม่ได้ เนื่องจากแอร์ในรถเสีย ต้องไปซ่อมแอร์ก่อน คาดว่าประมาณเที่ยงครึ่งน่าจะซ่อมแอร์เสร็จและถึงจะพาเราเดินทางไปได้ ความเวียนหัวและความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาเยือนทุกคนเนื่องจากเราจะเสียเวลาออกไปอีก และที่จริงเราก็อยากให้ถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เรากำหนดไว้ให้เร็วที่สุดจะได้มีเวลาเที่ยวนานนาน ดังนั้นพี่นิกับผู้เขียนเลยคุยกันว่าจะทำไงต่อดี จะคอยไม๊หรือจะหารถจากเจ้าอื่น ซึ่งคราวนี้ผู้เขียนเองก็เลยกางหนังสือที่อุตส่าห์ถือไปจากกทม. เรื่อง "ไปเองได้ จ่ายน้อยกว่า เที่ยวมากกว่า ไสตล์พี่วุฒิกับพี่เคท" ตอนไปเที่ยวลาว เป็นหนังสือดีมาก มีรายละเอียดทุกอย่างของการเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเอง (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะ)

ผู้เขียนก็เลยลองเปิดหน้าที่พี่วุฒิกับพี่เคทให้ข้อมูลเรื่องการหารถจากเวียงจันทน์ไปวังเวียง ก็ได้ความว่าสองสามีภรรยานั้นใช้บริการจากผู้ให้บริการรถเช่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับให้ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเสร็จสรรพ พี่นิกับผู้เขียนก็เลยลองโทรติดต่อตามหมายเลขที่หนังสือบอกไว้ ปรากฎว่าเขายกเลิกหมายเลขไปซะแล้ว และที่เงี้ยทำไง และก่อนที่เราจะต้องรออย่างไม่มีความหวังอยู่นั้นเอง ก็มีหนุ่มลาวหน้าตาใสซื่อคนหนึ่งเดินเข้าทักพี่นิกับผู้เขียนว่าจะไปไหน เราสองคนเลยบอกจุดหมายของเราทันที ซึ่งหนุ่มลาวเสนอว่าเขามีบริการเป็นมินิแวนเหมาะสำหรับจำนวนสมาชิกกลุ่มเราพอดี โดยเขาคิดค่าบริการเหมาเป็นวันๆ ละ 3,500 บาท รวมค่าน้ำมันด้วย ซึ่งในแต่ละวันเราจะให้เขาพาไปไหนก็ได้ และจะไปถึงหลวงพระบางก็ได้ สำหรับคนขับนั้นขอให้กินอยู่กับเราเท่านั้นเอง พี่นิกับผู้เขียนเลยกลับมาปรึกษาสมาชิกที่เหลือซึ่งทั้งหมดเห็นชอบด้วย เพราะคิดดูแล้วน่าจะคุ้มค่ากว่าใช้บริการรถตู้แบบรายเที่ยวตามที่เราติดต่อหนุ่มลาวคนแรก และมีความเป็นส่วนตัวดี ดังนั้นกลุ่มเราจึงตอบตกลงกับหนุ่มลาวคนที่สองทันที ซึ่งถัดมาอีกไม่นานก็มีรถมินิแวนพร้อมคนขับมารับเราออกไปจากสถานีขนส่ง และปล่อยให้หนุ่มลาวคนแรกมองตามเงินจำนวน 2,100 บาทหายวับไปกับสายตา โดยต่อมาพี่นิวิเคราะห์ว่าที่หนุ่มลาวคนแรกบอกว่าแอร์ในรถเสียนั้นคงจะไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นเพราะเขายังจัดสรรคิวรถไม่ลงตัว เพราะคนเหล่านี้เป็นนายหน้าจัดคิวรถไม่ใช่เจ้าของรถ พวกเราก็อือออเห็นด้วย เพราะตอนนี้อาการวิงเวียนหายไปความสดใสเข้ามาแทนที่เพราะได้ออกมาจากสถานีขนส่งแล้วนี่ ดังนั้นอะไรๆ ก็ดูดีไปหมด อิอิอิ พอคนขับขับไปได้สักพักเขาบอกพวกเราว่าตัวเขาเองนั้นไม่ใช่คนที่จะพาเราไปตลอดการเดินทางนี้หรอก เขาจะพาเราไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งซึ่งใหม่กว่าของเขาอีก และคนขับรถคันนี้ชำนาญเส้นทางที่จะไปวังเวียงและหลวงพระบางซึ่งเป็นเทือกเขาดีเสียด้วย (อะแฮ้ม พระเอกของเราใกล้ออกมาปรากฏตัวแล้ว)

ต่อมาเขาก็พาเรามาสถานที่ที่จะเปลี่ยนรถ เราก็เห็นรถมินิแวนคันสีเขียว (อือ ดูใหม่ดีจริงๆ ด้วย) ซึ่งจะเป็นยานพาหนะพาเราไปท่องเที่ยวตลอด 4 วันนี้ พอขึ้นรถได้เสร็จสรรพ พวกป้าๆ ก็สัมภาษณ์ถามชื่อแซ่คนขับทันที ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาชื่อ "บุญ" (ดูรูปประกอบนะจ๊ะ บุญและภรรยาของบุญถ่ายวันสุดท้ายในวันที่เราจะกลับไทยแล้วละ) เอาละบุญ ต่อไปนี้ก็ทนรำคาญเสียงนกกระจอกหน่อยนะ อิอิอิ

เท่าที่ผู้เขียนสังเกต บุญเป็นคนขับรถประเภทขับเป็น ไม่ใช่ขับได้เหมือนคนจำนวนมากในกรุงเทพฯ ขับเป็นคือคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางที่ใช้รถใช้ถนน ดูเขาไม่ประมาท อันนี้ก็ขอชม อ้อ และก็ขอชมคนขับคนแรกที่พามาพบว่าบุญด้วยว่า เป็นคนซื่อตรงที่ยอมรับว่าตัวเองไม่มีความชำนาญเส้นทางดังนั้นขอให้เพื่อนขับไปแทน
และแล้วบุญก็พาคณะเรามาถึงวังเวียงเมื่อประมาณบ่ายสามโมง ซึ่งตลอดทางผู้เขียนยอมรับว่ามีอาการวิงเวียนตลอดจากอาการเมารถ เพราะขับขึ้นเขาวกไปวนมา เห็นท่าคราวหน้าต้องนั่งข้างหน้าซะแล้ว
เจอกันตอนหน้าจ้า ว่าคณะเดินทางกลุ่มนี้จะทำอะไรกันบ้างที่วังเวียง

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 2: สะบายดีเวียงจันทน์)

















ติ้ง ติ่ง ติง ติง ตะ ริง ติง
เสียงไรเนี่ย รบกวนแต่เช้าเลย (ลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น โหยง่วงชมัด) อ้อ เสียงนาฬิกาปลุกในมือถือน่ะเอง อ้อเรานอนอยู่ที่โรงแรม NB ที่อุดรฯ นี่ ไม่ใช่เตียงนอนที่บ้านสะหน่อย กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย อืม ตีห้า
ข้อความข้างบนผู้เขียนนึกอยู่ในใจนะจ๊ะ หลังจากตื่นนอนขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อนร่วมเดินทางทั้งสอง (พี่นิและป้าศรี) และผู้เขียนก็รีบกุลีกุจออาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกมาสถานีขนส่งแห่งที่ 1 ในตัวเมืองอุดรฯ มารอเพื่อนร่วมทางที่เดินทางด้วยรถโดยสารที่จะมาถึงเช้านี้ จะได้นั่งรถ interbus เที่ยวแรกแปดโมงเช้าไปเวียงจันทน์ไปด้วยกัน

เราสามคนมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดอุดรฯ ประมาณหกโมงเช้าเศษๆ พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระคนละใบ ซึ่งกระเป๋าของผู้เขียนเป็นได้ทั้งเป้ และกระเป๋าลากในคราวเดียวกัน ทำให้สะดวกสบายเป็นที่ยิ่ง เดินมาถึงตรงช่องขายตั๋วก็ยังไม่เห็นคนขายมาเปิดช่องขายตั๋วสำหรับรถเที่ยวแรกที่จะไปเวียงจันทน์เลย (ออกเวลา 8.00 น. โปรดดูรูปข้างบนประกอบ) เราสามคนก็เลยไปหาอะไรใส่ท้องตอนเช้าก่อน เดินไปเดินมาแถวนั้นก็หาได้แค่หนึ่งร้าน เพราะร้านอื่นยังไม่เปิดเพราะเช้าจัด เลยเดินเข้าไปสั่งข้าวขาหมูคนละจาน (ซึ่งคนขายแกก็บรรจงมากในการเลาะขาหมู กว่าจะได้กิน เฮ้อ) จากนั้นพี่นิและป้าศรีสั่งกาแฟโบราณจากลุงขายกาแฟรถเข็นหน้าร้านข้าวมาอีกคนละแก้ว (อืมกาแฟก็หอมยั่วใจดี แต่ผู้เขียนไม่สั่งทั้งที่อยากกินมากรวมทั้งป้าสมศรีก็คะยั้นคะยอให้สั่งมากินเป็นเพื่อน เดี๋ยวจะเฉลยให้ฟังตอนหน้าว่าทำไมถึงต้องตัดใจทั้งที่อยากกินมาก)

เสร็จแล้วเราเดินไปที่ช่องขายตั๋วอีกครั้ง อืมดีเลยตอนนี้มีคนมานั่งขายตั๋วแล้ว เราเลยเดินไปเพื่อจะซื้อตั๋วให้ตัวเอง รวมทั้งจะซื้อให้เพื่อนร่วมทางที่กำลังจะเดินทางมาถึงโดยรถโดยสาร ปรากฏว่าเขาขายให้ 1 คน 1 ใบ พร้อมทั้งให้แสดงพาสปอร์ตด้วย ใครไม่มีก็ไปไม่ได้ และถ้าคิดจะทำใบผ่านแดนที่อุดรฯ เนี่ยก็ทำไม่ได้ต้องไปทำที่หนองคาย เราสามคนก็รีรีรอรอเพื่อนที่กำลังเดินทางมา ส่วนป้าสมศรีก็โทรเช็คกับพี่วัฒน์ว่าขณะนี้มาถึงไหนแล้ว พี่วัฒน์บอกมาว่าเข้ามาถึงตัวเมืองอุดรฯแล้ว เราสามคนที่รออยู่ก็เลยตัดสินใจไปซื้อตั๋วเพราะแน่ใจแล้วว่า พี่ๆ ที่เหลืออีกสามคนเดินทางมาทันรถที่จะออกไปเวียงจันทน์รอบเช้านี้แน่ และประมาณอีก 15 นาที รถที่มาจากกทม. ก็เดินทางมาถึง

ตกลงเราทั้ง 6 คน เดินทางออกจากอุดรฯ ตรงเวลาเป๊ะๆ คือ 8 โมงเช้า โชคดีที่พี่วัฒน์ พี่หวาดและพี่อ้อย เดินทางมาทันก่อนที่ตั๋วจะขายหมด เพราะหลังจากที่พี่สามคนนั้นซื้อเสร็จไม่ทันเท่าไหร่ เขาก็ปิดช่องขายตั๋ว ดังนั้นจึงขอเตือนผู้ที่สนใจจะเดินทางแบบเดียวกับพวกเรา กรุณารีบไปต่อคิวซื้อตั๋วแต่เนิ่นๆ เพราะแต่ละรอบมีรถแค่คันเดิยว หากท่านพลาดเที่ยวนั้นก็ต้องรอไปอีกประมาณสองชั่วโมง
เราใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงตลาดเช้าที่เมืองเวียงจันทน์ เย้ เย้ เย้ ขอทักทายหน่อย สะบายดีเวียงจันทน์ (สวัสดีเวียงจันทน์) อันที่จริงระยะทางจากอุดรฯ ไปเวียงจันทน์ไม่ไกลเท่าไหร่เลย แต่เราเสียเวลาไปมากที่ด่านตรวจคนออกเมืองของไทยและเข้าเมืองของลาว เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวทำให้คนเข้าไปเที่ยวลาวเยอะมาก ดังนั้นคิวที่รอประทับตราก็เลยยาวมาก อ้อ สำหรับค่านตรวจคนเข้าออกเมืองของฝั่งลาว ท่านต้องเตรียมสตางค์จ่ายค่าธรรมเนียมด้วยนะจ๊ะ ซึ่งเป็นค่าล่วงเวลาในกรณีที่ท่านเดินทางเข้าไปในวันหยุดและนอกเวลาราชการ รู้สึกจะประมาณ 25 บาท เป็นเงินกีบก็น่าจะประมาณ 5000 กีบได้มั้ง
เอาละ แล้วเจอกันตอนหน้านะจ๊ะ มาติดตามต่อไปว่า 6 คนนี้จะทำอะไรต่อ และจะไปหลวงพระบางกันยังไง







วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 1: เดินทางแบบนักธุรกิจจากกทม. สู่อุดรธานี)


วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552

หลังจากผ่านวันวาเลนไทน์มาสองวัน ก็ได้ฤกษ์มาเขียนบล็อกอีกครั้งหนึ่งหลังจากห่างหายไปนาน อันเนื่องมาจากภารกิจส่วนตัวและชาติบ้านเมือง


อาทิตย์ที่ผ่านมาช่วงวันหยุดยาวในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนาคือมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันจาตุรงคสันนิบาตคือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ชาวเรานับรวมได้ 6 ชีวิตซึ่งเป็นข้าราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (ซึ่งเป็นตัวผู้เขียนเอง) เห็นว่าควรจะได้ดำรงตนเป็นพุทธมามกะที่ดีด้วยการเดินทางไปประเทศลาว เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียวปั้นแด่พระสงฆ์ที่เมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง (ที่จริงเปล่าหรอก กำหนดการนี้คิดล่วงหน้ามาเป็นเดือนแล้ว จนร่ำๆ ว่าอาจจะมีการยกเลิกแผนการเดินทางจากมวลหมู่สมาชิก)


จนกระทั่งถึงเวลา deadline ก็ต้องรีบจองตั๋วเดินทางแล้ว (เปลี่ยนใจไม่ได้และ เนื่องจากถูกป้าสมศรีมัดมือชกให้รีบจองตั๋วเครื่องบินประเภทตั๋วรางวัลตัดแต้มจากหมายเลข Royal Orchid Plus) อ้อ ลืมเล่าไปว่าคณะเดินทางประกอบไปด้วย พี่สมศรี ป้าสมศรี หรือป้าศรี(เนี้ยเป็นคนๆ เดียวนะจ๊ะ แล้วแต่อารมณ์ว่าจะใช้สรรพนามอะไรเรียกแกดี) พี่นิ (พี่เขาทำงานฝ่ายเดียวกันกับป้าสมศรี) พี่หวาด (บางครั้งก็เรียกแกว่าพี่สวาทศรี แต่ชื่อจริงแกพราะเชียวนาชื่อคุณสุนทรีพร) พี่อ้อย ซึ่งก็ทำงานห้องเดียวกันกับพี่หวาด มากันเป็นคู่เลยแหะ พี่วัฒน์ และก็ผู้เขียนเอง รวมกันเป็น 6 คน


แต่ถึงขนาดรีบยังไงก็ตามผู้เขียนเองไม่ได้นั่งชั้นประหยัดเหมือนกับพี่นิ และป้าศรีเพราะเต็มหมด ก็เลยต้อง up มาเป็นชั้นธุรกิจ (แหมครั้งแรกเลยนะเนี่ย เอาก็เอา)


พอมาถึงเวลา 16.30 น. ของวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 ก็ได้เวลามาเจอพี่เขาที่ใต้ตึก โดยคนที่จะเดินทางไปทางเครื่องบินนั้นจะมีแค่ 3 คน มี พี่นิ ป้าศรีและผู้เขียน ส่วนสมาชิกอีก 3 คนที่เหลือเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งจะออกช่วงดึกของคืนนั้น เนื่องจากพวกพี่ๆ เขาต้องรอพี่วัฒน์ที่จะเดินทางกลับมาจากการทำงานที่นครสวรรค์ (เห็นไม๊ว่าข้าราชการยุคนี้ไม่ใช่เช้าชาม เย็นชามนา ดูสิยังทำงานจนหยดสุดท้ายก่อนไปเที่ยวอีกแน่ะ อิอิ)


ตะนี้ในช่วงนี้ก็ต้องเล่าเฉพาะการเดินทางของ 3 คนแรกที่เดินทางโดยเครื่องบินก่อนนะจ๊ะ โดยมีการนัดแนะกันกับสมาชิก 3 คนหลังว่า ถ้าลงที่สถานี บขส. จังหวัดอุดรฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ให้พี่วัฒน์โทรหาและหาสถานที่ที่จะพบกันในการเดินทางเข้าประเทศลาว ซึ่ง 3 คนแรกอาจจะพักรออยู่ที่โรงแรม อ้อ ลืมเล่าไปนิดว่าพี่นิเป็นผู้ที่เตรียมตัวดีมาก ซึ่งอาจมีป้าศรีช่วยด้วยบ้างปะไม่แน่ใจ โดยพี่เขามีการหาข้อมูลจากทาง internet เรื่องโรงแรม และก็ข้อมูลของลาวมาด้วย


พี่นิ ป้าศรี และผู้เขียนเดินทางไปดอนเมืองด้วยกันเพื่อจะรอขึ้นเครื่องไปอุดรฯ แหมและก็นะตอนที่นั่งแท๊กซี่นะ คนขับกับผู้โดยสารคุยกันถูกคอเลยเชียวเรื่องไปเที่ยวลาวเนี่ย พอรู้ว่าเราจะไปลาวพ่อคนขับให้ข้อมูลใหญ่เลยเรื่องประเทศลาว เพราะตัวแกเองเคยไปทำงานในลาวมาพักนึงเลยมีประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดให้พวกเราบ้าง ซึ่งก็มีประโยชน์อยู่ ยังไงก็ขอบคุณมา ณ ที่นี้ หวังว่าคงไม่ใช่แท๊กซี่ นปก. นะ เอิ๊ก เอิ๊ก :)

กำหนดการจริงเครื่องต้องออกประมาณ 6 โมงเย็นเศษๆ นิดหน่อย แต่เครื่องต้อง delay ออกไปประมาณทุ่มกว่าหรือประมาณเนี้ย (แต่เผอิญช่วงบ่ายการบินไทยโทรมาบอกว่าเครื่องจะ delay อะนะ อันนี้ไม่ว่ากัน) พอไปถึงดอนเมือง check in เสร็จก็เข้าไปเลย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเวลาท้องหิวและเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้คุ้นชินกับจารีตและวัฒนธรรมของประเทศที่เราจะไปเยือน ป้าศรีแกก็จัดแจงควักถุงไก่ทอด พร้อมข้าวเหนียว(ไม่ใช่ KFC นะ ไก่ทอดขายที่หน้าที่ทำงานน่ะแต่เขาทอดอร่อยดีนะ เป็นเพราะน้ำมันที่ใช้ทอดดำหรือเปล่าเลยอร่อย 555) ป้าศรีแจกจ่ายไก่ทอดและข้าวเหนียวให้สมาชิกสองคนที่เหลือ พร้อมร่วมกันจกข้าวเหนียวกันด้วยความครื้นเครงในท่าอากาศยานดอนเมืองนั่นแล (ลืมถ่ายรูปตอนกินมาประกอบ มีแต่รูปพี่สองคนตามที่ up ไว้ข้างบน พี่นิคนซ้าย ป้าศรีคนขวา)
หลังจากอิ่มแล้ว ก็มีประกาศการบินไทยว่าเครื่องจะ delay เป็นสองทุ่มกว่า (เซ็งเลย ยังไงก็ต้องรอ) พอได้เวลาคราวนี้ไม่เลื่อนแล้ว ได้ขึ้นซะะที แหมได้นั่งชั้นธุรกิจอย่างโก้เลยเรา จะเสริฟน้ำ อาหารว่างแต่ละทีพิธีรีตรองมากกว่าชั้นที่เคยนั่ง เบ็ดเสร็จใช้เวลาเดินทางประมาณ 55 นาทีก็มาถึงอุดรฯ โรงแรมที่เราจะพักชื่อ N.B. โดยพี่นิโทรให้โรงแรมจัดรถมารับ ช่วงนี้เดินทางแบบ hi ดีจริงๆ พอมาถึงโรงแรม check in นำของไปเก็บเสร็จ ก็ออกมาหาอาหารรอบค่ำกิน เพราะระหว่างนั่งรถมาโรงแรมเห็นร้านอาหารข้างทางหลายร้านเหมือนกัน เดินมาเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระร้านหนึ่งมีคนกินเยอะมาก หลังจากซาวเสียงของสมาชิกเลยเห็นดีด้วยกันที่จะกินก๋วงเตี๋ยวร้านนี้ เพราะจากประสบการณ์นักกินของพี่นิ เห็นว่าร้านไหนมีคนกินเยอะแสดงว่ารสชาดต้องดี
จากนั้นเราสามคนสั่งกันมาคนละชาม รสชาดเป็นไปตามที่พี่นิตั้งสมมติฐาน ถูกใจพวกเรามาก โดยเฉพาะป้าศรี หลังจากนั้นเรามารู้ว่าเราเป็นสามชามสุดท้ายที่เขาขาย เพราะมีคนมาสั่งต่อจากเราแล้วคนขายบอกว่าหมดแล้ว เกือบไม่ได้ชิมของอร่อยแล้วนะเนี่ย จากนั้นเราก็เดินทางกลับโรงแรมเพราะเหนื่อยและดึกเกินไปที่จะไปไหนต่อแล้ว
ราตรีสวัสดิ์สำหรับตอน 1 เจอกันใหม่ตอน 2 ตอนเข้าเวียงจันทน์นะจ๊ะ