วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เปิดลิ้นชักความทรงจำที่แคนาดา ตอน 13: MACKPACKER (6)


ห่างหายไปนานกับการเล่าเรื่องท่องเที่ยวในแคนาดา ต้องยอมรับว่าการเข้ามาเขียนบล็อกเพื่อเล่าเรื่องอะไรต่างต่างนานา ก็คงเหมือนกับการเขียนเรื่องสั้นที่ต้องอาศัยอารมณ์ของคนเขียนที่เข้ากับบรรยากาศของการเล่าเรื่องในขณะนั้น ในขณะที่ตอนนี้อารมณ์คนเขียนก็ยังคงอยู่กับเรื่องเล่าเมื่อตอนที่แล้ว ก็เลยดูแปร่งๆ สักหน่อยที่ต้องเล่าเรื่องเมืองในต่างประเทศ แต่ใจไพล่ไปนึกถึงกรุงเทพฯ ของเราในสมัยก่อนซะนี่ แต่ก็เอาเถอะก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่เพราะก็เป็นเรื่องเมืองเก่าๆ ครือกัน




เมื่อสามสี่วันที่แล้วช่วงดึกๆ หน่อยมีคนเปิดเข้ามาอ่านบล็อกของผู้เขียน แล้วก็ให้บังเอิญว่าผู้เขียนกำลัง
ออนไลน์ Pingbox ของ yahoo บนหน้าบล็อกพอดี คุณผู้อ่านท่านนั้นที่ใช้ชื่อว่า "โบว์" ก็เลยส่งข้อความเข้ามาทักทายว่าสนใจอ่านเรื่องเล่าที่แคนาดา เพราะว่ามีโครงการจะไปเรียนต่อที่แคนาดาพอดี ผู้เขียนกำลังจะตอบกลับไปแต่ก็พอดีว่าหน้า chat ค้างส่งข้อความไปไม่ได้ ก็เลยขอถือโอกาสนี้ขอบคุณผู้อ่านท่านนั้นที่ติดตามอ่านและเห็นว่าเรื่องเล่าที่แคนาดาของผู้เขียนมีประโยชน์อยู่บ้าง




เมื่อตอนที่แล้วได้เกริ่นไปแล้วว่าควิเบกซิตี้เป็นเมืองเก่าแก่ร่วมสมัยกับยุคเช็คสเปียร์โน่นเลย ควิเบกซิตี้เพิ่งจัดงานฉลองครบรอบ 400ปี เมื่อปี ค.ศ. 2008 นี่เอง บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างของควิเบกซิตี้ยังคงมีกลิ่นไอของความเก่าแก่สมัยเมื่อสี่ร้อยปีก่อนหลงเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ตอนที่ผู้เขียนไปเยี่ยมเยือนเมืองนี้นั้นผู้เขียนคิดว่าบรรยากาศไม่เป็นใจเอามากๆ เป็นเพราะว่าหิมะตกหนักเกือบจะตลอดเวลา ดังนั้นการเดินทางไปตามที่ต่างๆ ค่อนข้างจะลำบาก เพราะนอกจากพื้นถนนลื่นจากหิมะแล้ว ภูมิประเทศที่เป็นทางลาดชันสูงๆ ต่ำๆ ทำเอาผู้เขียนวัดพื้นซะหลายครั้ง



ตามความเห็นส่วนตัวผู้เขียนว่าการมาเที่ยวที่ควิเบกซิตี้แห่งนี้น่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนน่าจะดีกว่านี้ เพราะเราสามารถที่จะเห็นดอกไม้สีโน้น สีนี้ และก็สิ่งอื่นๆ ที่บ่งบอกความเป็นเมืองเก่าแก่แห่งนี้ได้ดีกว่าตอนหน้าหนาวที่มีแต่หิมะและหิมะ เพราะหน้าหนาวบางทีพิพิธภัณฑ์หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญบางแห่งต้องปิดไม่ให้เข้าชมเพราะสภาวะอากาศไม่อำนวย ถึงแม้ว่าจะมีกิจกรรมให้ชมประเภทการเล่นสเก็ตหรือสกีก็ตามทีเถอะ ลองเปรียบเทียบดูเองก็ได้



จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวคือส่วนที่เรียกว่า "Old Town" ซึ่งจะมีสถาปัตยกรรมสมัยก่อตั้งเมืองแห่งนี้เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วหลงเหลืออยู่ค่อนข้างมาก และบางแห่งก็เป็นสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างขึ้นมาใหม่แต่ตกแต่งให้คล้ายคลึงกับอาคารยุคเก่าๆ

Old Town ประกอบไปด้วยสองส่วนคือ Upper Town และ Lower Town โดยทั้งสองส่วนนี้มีบันไดยุคโบราณหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Breakneck Stairs สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 ไว้ใ้ช้สำหรับเชื่อม Upper Town และ Lower Town ไว้ด้วยกัน












Breakneck Stairs แต่ละที่จะมีเอกลักษณ์และศิลปะเฉพาะตัว แรกเริ่มเดิมทีบันไดเหล่านี้ทำมาจากไม้ และต่อมาเมื่อมีการบูรณะซ่อมแซมก็เปลี่ยนมาใช้เหล็กแทนเพื่อความคงทนถาวร อย่างไรก็ตาม Breakneck Stairs คงใช้ได้แต่กับคนรุ่นหนุ่มสาวที่ยังพอมีกำลังวังชาเดินขึ้นบันไดสูงชันหลายๆ ขั้นเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้สูงวัยเขาก็มีทางเลือกให้เหมือนกันด้วยเคเบิลคาร์ที่สร้างขึ้นมาเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาที่ชื่อ "Funicular"











ที่ Old Town แห่งนี้มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง อย่างเช่น Place-Royale ที่เป็นจัตุรัสหรือสแควร์อยู่ Lower Town ที่ Samuel de Champlain ผู้ก่อตั้งเมืองแห่งนี้มาถึงเป็นจุดแรก ในยุคก่อนจัตุรัสแห่งนี้ใช้ไว้สำหรับการแสดงของขบวนพาเหรด ต่อมาปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งค้าขายหรือ marketplace สำหรับในปัจจุบันจัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่คนนิยมถ่ายรูปเพื่อนำไปจัดทำโปสการ์ด และนอกจากนั้นในอาคารแถบใกล้เคียงก็ใช้สำหรับจัดนิทรรศการแสดงความเป็นมาของ Place-Royale แห่งนี้







Video credit to WatchMojo
Photos credit to http://www.societehistoriquedequebec.qc.ca/images/escalier_casse_cou.jpg
http://www.funiculaire-quebec.com/en/PhotosFuniculaire.htm#thumb
hhttp://www.bonjourquebec.com/qc-en/attractions-directory/museum-interpretation-centre-historic-site/musee-de-lamerique-francaise_1171481.htmlttp://leo.koppel.ca/geo/photos/placeroyale.jpg

Partial source of info.: http://wikitravel.org/en/Quebec_City