วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

รถไฟไปไม่ถึง Vienna !!!

ในช่วงเช้าของวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จะมีช่วงพักบ้างราวๆ สองสามชั่วโมงที่ซูริค นอกจากจะแวะกินข้าวกลางวันที่ซูริคแล้ว พวกพี่ๆ ยังใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วยการช็อปปิ้ง ที่เห็นๆก็มีพี่รินซื้อนาฬิกาไปฝากเพื่อน (หรือเพื่อนฝากซื้อก็ไม่รู้)

จากซูริคเรานั่งรถไฟด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งออสเตรีย (Austrian Federal Railways: OBB) ที่เรียกว่า "Railjet” ขบวนที่ ๑๖๙ ออกจากซูริคเวลาบ่ายสองโมงสี่สิบนาที พวกเราประทับใจการให้บริการของพนักงานของรถไฟสายนี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับการจองที่นั่งเหมือนรถไฟสายด่วนอื่นๆ แล้ว ยังมีบริการเครื่องดื่มและของว่างให้ด้วย (เข้าใจว่าจะบริการเฉพาะผู้โดยสารชั้น 1) สภาพภายในของ Railjet ค่อนข้างสะอาด เบาะที่นั่งค่อนข้างกว้าง และมีจอมอนิเตอร์คอยบอกเวลาถึงและออกตามสถานีต่างๆ เรียกว่าสะดวกสบายเหนือความคาดหมายทีเดียว

แม้ว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้สัมผัสและได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของประเทศสวิสที่มีทั้งทะเลสาปและภูเขาสูงที่บนยอดยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ แต่วันนี้เราก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อขบวนรถไฟของเราเดินทางมาถึงพรมแดนของออสเตรียที่ข้างทางเต็มไปด้วยเทือกเขาสูงที่ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก ในช่วงเส้นทางบริเวณนี้รถไฟวิ่งได้ค่อนข้างช้าเนื่องจากข้างทางเป็นหุบเขา ยังไงก็ตามนั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่สร้างความหงุดหงิดใจให้เราแต่อย่างใด เพราะพวกเราแต่ละคนเพลิดเพลินและตื่นเต้นกับทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทาง

รถไฟพาเราแล่นผ่านและแวะจอดรับส่งผู้โดยสารตามสถานีชื่อต่างๆ ที่เกือบจะทั้งหมดผู้เขียนไม่รู้จัก พอจะคุ้นชื่ออยู่สองเมืองเท่านั้นคือ อินซ์บรุค (Innsbruck) และซาลซ์บูร์ก (Salzburg) ที่เป็นบ้านเกิดของโมสาร์ทนักดนตรีชื่อดังชาวออสเตรียและเป็นฉากของภาพยนต์เรื่องดัง "Sound of Music"

พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าไปนานแล้วและที่มาแทนที่คือแสงจันทร์ แสงดาวและแสงไฟนีออนในตู้รถไฟของเรา รถไฟก็ยังคงพาเราเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้เวลาจะสี่ทุ่มผู้เขียนจึงเหลือบตามองไปที่จอมอนิเตอร์ ที่เห็นอยู่ในนั้นคือชื่อสถานีถัดไปที่เหลืออยู่เพียงสองชื่อเท่านั้น และสองชื่อนั้นก็ไม่มีชื่อ Viennaอันเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของเราแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจว่าที่เดินทางมาตลอดทั้งวันนี้พวกเรานั่งรถไฟมาผิดขบวน เพราะเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายไม่มีทางเดินทางถึงสถานีรถไฟ "เวียนนา" หรือ “Vienna” เมืองหลวงแห่งประเทศออสเตรียได้ เพราะที่ท่านจะเห็นจะมีแต่ สถานีรถไฟ "วีน" หรือ “Wien” เท่านั้น ซึ่งสถานี Wien มีหลากหลายมาก ที่สำคัญคือ “Wien Westbahnhoff” (สถานีหลัก) , “Wien Sudbahnhoff”, “Wien Meidling” ดังนั้นถ้าจะพูดว่ารถไฟพาเราไปไม่ถึง Vienna เห็นจะไม่เกินจริงแต่อย่างใด

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางโดยรถไฟในวันนี้จนได้เมื่อตอนเกือบๆ ห้าทุ่ม เมื่อ Railjet ๑๖๙ พาพวกเรามาถึง “Wien Westbahnhoff” และการผจญภัยกิจกรรมแรกกลางดึกคืนนี้คือการตามหา hostel ซึ่งเป็นที่พักของเราก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เที่ยวเซอร์แมทท์ ครั้งเดียวไม่พอ

เราออกจากปารีสเมื่อเวลา ๐๗.๒๔ น. โดยเราต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟในฝรั่งเศสสองถานีถึงจะเดินทางเข้าเขตสวิตเซอร์แลนด์ สถานีแรกคือ Strasbourg และสถานีที่สองคือ Mulhouse Ville และจาก Mulhouse Ville ใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมงเราจึงเดินทางถึงเมือง Basel ของสวิส

การลงรถไฟพร้อมทั้งแบกสัมภาระของตนเองลงมาด้วยนั้นค่อนข้างเป็นงานหนักไม่ใช่เล่น พี่โป่งก็เลยมีความคิดว่าช่วยๆ กันน่าจะดีกว่า ก็เลยออกมาเป็นภาพอย่างที่เห็น ขณะที่สองสามคนรอรับกระเป๋าอยู่ข้างล่าง คนที่เหลือก็คอยส่งกระเป๋าของทุกคนลงมา แค่นี้ก็เรียบร้อย

เราใช้เวลาอยู่ที่สถานี Basel ได้ไม่นานนักเราก็ต้องเดินทางต่อไปยัง Luzern โดยเราพอจะมีเวลาเที่ยวชมความงามของเมือง Luzern อยู่บ้างสักสเามชั่วโมงก่อนจะเดินทางไป Zermatt ต่อไป

หลังจากที่ฝากสัมภาระไว้ในตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญแล้ว ทีนี้กลุ่มเราก็สามารถลั้นลาใน Luzern ได้อย่างสบายใจ ที่จะไม่ไปเยือนเห็นจะไม่ได้คือสะพาน Chapel หรือ Chapel Bridge ที่เป็นสะพานไม้เก่าแก่ และเป็นสัญญลักษณ์ของเมือง Luzern จากนั้นเราก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อจะไปชมอนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารสวิสหรือ Swiss Guards ที่เสียชีวิตในสมัยสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส แต่กว่าที่พวกเราจะไปถึงอนุสาวรีย์สิงโตได้ ตามเส้นทางที่เดินผ่านก็มีแต่สิ่งของล่อตาล่อใจพวกพี่ๆ และนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหลาย จะเป็นอะไรไปได้นอกจากสินค้าขึ้นชื่อของสวิส นั่นก็คือนาฬิกานั่นเอง บางร้านแสดงป้ายธงไทยเขียนเป็นภาษาไทยเสร็จสรรพว่าสุขสันต์วันสงกรานต์อะไรประมาณนั้น (เพราะช่วงนั้นใกล้เทศกาลสงกรานต์) ผู้เขียนเห็นแล้วไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี แสดงว่าคนไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ไม่ใช่เล่นในสวิส

สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญญลักษณ์ของ Luzern อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าใดนัก ทำให้เรามีเวลาพอที่จะชมวิวทะเลสาป Luzern ชมตลาดนัด และต่อแถวซื้ออาหารท้องถิ่น ก่อนที่จะรอขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปเมือง Brig ต่อไป

จาก luzern เรามาแวะเปลี่ยนรถไฟที่เมืองหลวงของสวิสก็คือ Bern จากนั้นจึงจะต่อรถไฟอีกขบวนมาลงที่เมือง Brig

จะเห็นว่าวันนี้ทั้งวันเราขึ้นลงรถไฟจนขี้เกียจนับครั้งว่าขึ้นมาแล้วกี่ขบวน ทั้งหมดทั้งปวงเราใช้ Eurail Pass เป็นบัตรผ่าน ซึ่งนับว่าคุ้มค่ากับราคาจริงๆ แถมตู้ที่นั่งเป็นชั้นหนึ่งตลอด ในภาพจะเห็นว่าทั้งตู้ไม่มีใครเลยมีแต่พวกเราเท่านั้นที่ครอบครอง นั่นก็เป็นเพราะว่าคนท้องถิ่นเขาไม่ชอบนั่งรถไฟชั้นหนึ่งเพราะราคาแพง

เรามาถึงเมือง Brig เมื่อท้องฟ้าค่อนข้างสลัวแล้ว จากชานชาลาของสถานี Brigเราต้องเดินออกมานอกตัวสถานีถึงบริเวณ "Brig Bahnhofplatz" เพื่อมาต่อรถไฟเส้นทางที่จะไป Zermatt โดยเฉพาะที่มีชื่อว่า "Matterhorn Gotthard Banh” ซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของกิจการ โดยรถไฟสายนี้ถ้าจะว่าไปก็คล้ายๆ กับ “Glacier Express” ที่เป็นรถไฟสายชมวิวที่เดินรถไปในเส้นเดียวกันคือ ระหว่าง Zermatt และ St. Moritz แต่ราคาค่าตั๋วของ Matterhorn Gotthard Banh จะถูกกว่าเพราะคุณภาพการให้บริการและคุณภาพของตู้รถไฟไม่เท่ากับ “Glacier Express” ที่เป็นรถไฟแบบ Panorama Car มีกระจกบานใหญ่เห็นทิวทัศน์ร้อยแปดสิบองศามีตู้เสบียงไว้บริการอาหารชั้นยอดแก่ผู้โดยสาร อะไรประมาณนั้น

Eurail Pass ของเราไม่สามารถใช้บริการของ Matterhorn Gotthard Banh แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนกับ SBB หรือ Swiss Federal Railways ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข เราเลยต้องเสียเงินซื้อตั๋วสำหรับรถไฟขบวนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็มีส่วนลดให้กับผู้โดยสารที่ถือ Eurail Pass ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าจะเหลือประมาณคนละยี่สิบกว่าฟรังก์สวิส

เส้นทางเดินรถระหว่าง Brig Bahnhofplatz และ Zermatt นั้นต้องผ่านสถานีต่างๆ แปดสถานี สถานีหลักๆ ที่ผู้เขียนพอจะจำได้จากการนั่งรถไฟผ่านมาแล้วทั้งไปและกลับจำนวนสี่รอบ (เพราะไปมาสองครั้ง) คือ Visp, St Niklaus, Randa, Tasch และก็ Zermatt ที่เป็นสถานีปลายทาง เห็นอย่างนี้ก็เถอะนะใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวไปมา อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนชอบภูเขาก็เลยคิดว่าทิวทัศน์ตั้งแต่สถานี St Niklaus สวยและมีบรรยากาศดี

เรามาถึงสถานี Zermatt เมื่อตอนค่ำแล้ว เวลา ณ ขณะนั้นประมาณสองทุ่มเศษเห็นจะได้ หันไปมองที่บริเวณรอบสถานีก็เห็นตัวอักษรภาษาต่างๆ ที่เขียนต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนมีภาษาไทยคำว่า "ยินดีต้อนรับ" เด่นเป็นสง่ากับเขาด้วย เอาเป็นว่าเมือง Zermatt เขาทำให้เราประทับใจตั้งแต่มาถึงเลยเชียว

เรานำแผนที่ของ Zermatt Hostel ขึ้นมาดู ตอนแรกก็คิดว่าจะใช้การเดินเท้าเอา แต่พอดูสภาพภูมิประเทศและก็ช่วงเวลาแล้ว ไม่ได้เป็นใจให้เราทำแบบนั้นเลย เพราะถ้าจะเดินเราต้องเดินขึ้นเขาและขณะนั้นก็ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ยากแก่การเดินหาเสียเหลือเกิน เราเลยเรียกรถแท๊กซี่ที่เป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กที่จอดรออยู่บริเวณนั้นให้ไปส่ง ซึ่งแต่ละคันสามารถบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระได้แค่สองคนก็เลยต้องใช้บริการทั้งหมดสี่คัน ที่เมือง Zermatt แห่งนี้มีกฎเกณฑ์ห้ามการใช้รถส่วนตัวหรือ car-free และเป็นเมืองที่ปลอดมลภาวะ ดังนั้นรถที่ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นรถรับ-ส่งแขกของโรงแรม รถแท๊กซี่ รถเมล์โดยสารทุกชนิด เป็นรถที่ใช้แบตเตอรีหรือไฟฟ้า สำหรับคนที่นำรถส่วนตัวมาเขาจะอนุญาตให้นำรถมาจอดได้แค่เมือง Tasch หลังจากนั้นให้นั่ง Zermatt Shuttle เข้ามา

อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมารถแท๊กซี่ก็พาเรามาถึง Zermatt Hostelling ซึ่งดูจากสภาพที่ตั้งแล้วก็นึกในใจว่าคิดถูกแล้วที่มาแท๊กซี่ ขืนเดินมาเองคืนนี้ทั้งคืนก็หาไม่เจอ เมื่อเราเข้าไปใน Hostel ก็เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งรอการมาของพวกเราอยู่ก่อนแล้ว เธอกล่าวต้อนรับและพูดคุยกับเราด้วยความเป็นมิตร เราใช้เวลา check in ไม่นานนักก็ขึ้นห้องพัก พวกเราชอบสภาพห้องพักของ Hostel ที่นี่มาก ถึงแม้จะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว แต่บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างเป็นส่วนตัว สะอาดและสงบเงียบ

พวกเราตื่นขึ้นมาเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับไปใช้บริการอาหารมื้อเช้าของ Hostel ที่รวมอยู่ในค่าห้องของเราแล้ว และนอกเหนือจากมื้อเช้าแล้วเขายังให้บริการอาหารเย็นอีกด้วย ซึ่งเราชอบมากๆ อาหารก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว (แต่กลิ่นถุงเท้าของพ่อครัวต้องปรับปรุง พี่ๆ เขาพูดมาว่ายังงั้น) เช้าวันนี้เรามีกำหนดที่จะขึ้นรถไฟ Gonergrat Bahn เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดเทือกเขาแอลป์ และเมื่อขึ้นไปแล้วถ้าโชคดี อากาศเป็นใจเราก็อาจจะได้เห็นแมทเทอร์ฮอร์น Matterhorn ใกล้ๆ

ผู้อ่านที่เป็นนักดูหนังคงจะคุ้นเคยกันดีกับ intro ของบริษัท Paramount Pictures ที่มีโลโก้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง



อาจจะมีหลายท่านไม่เคยตั้งข้อสังเกตหรือสงสัยว่าเป็นยอดเขาอะไร เพราะสนใจแต่เนื้อหาของหนังที่จะตามมาหลังจากนั้น แต่ก็อาจจะมีอีกหลายๆ ท่านที่ทราบว่าเป็นภูเขาอะไร



หรือใครหลายๆ คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลตของสวิสที่มีชื่อเสียงอย่าง Toblerone ก็อาจเคยสังเกตเห็นหน้ากล่องเป็นรูปภูเขา ทั้งสัญญลักษณ์ของ Paramount Pictures และ Toblerone ก็คือ Matterhorn ภูเขาที่เรากำลังจะไปหาขณะนี้นั่นเอง

Matterhorn เป็นภูเขารูปสามเหลี่ยมปิรามิดที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี โดยเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ (ประมาณ สี่พันกว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล) บริเวณที่ตั้งของ Matterhorn มีบรรยากาศและความท้าทายที่ชวนเรียกร้องให้นักไต่เขาใช้ความพยายามที่จะพิชิตยอดเขา Matterhorn ให้ได้ เพราะ Matterhorn เป็นหนึ่งของยอดเขาที่ได้ชื่อว่าพิชิตยากที่สุด ที่ผ่านๆ มามีนักปีนเขานำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นจำนวนมาก โดยเราจะเห็นได้จากหลุมฝังศพที่เรียงรายอยู่ในสุสานของเมือง Zermatt

พวกเราใช้ Eurail Pass เพื่อขอส่วนลดจากการซื้อตั๋ว Gonergrat Bahn (จำราคาไม่ได้เสียแล้ว) โดยเป็นตั๋วทั้งขาขึ้นและลง นอกเหนือจาก Gonergrat Bahn แล้ว การเดินทางไปจุดสูงสุดของยอดเขาแอลป์มีอีกหลากลายทาง เช่น กระเช้า Matterhorn Glacier Paradise หรือ Rothorn ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ www.zermatt.ch/en/page.cfm/experience/peaks/gornergrat


ที่จริงความตั้งใจของผู้เขียนนั้นอยากจะเดินทางขึ้นแค่ขาเดียว เพราะตอนขาลงอยากจะใช้วิธี Trekking ลงมาเพื่ออยากจะมาเก็บภาพเงาของ Matterhorn ที่สะท้อนลงบนผืนทะเลสาป Riffel



แต่บรรยากาศช่วงที่ไปครั้งแรกที่เต็มไปด้วยหิมะที่ยังไม่ละลายถึงแม้จะล่วงเข้าเดือนเมษายนแล้ว (ครั้งที่สองที่ไปเมื่อเดือนมิถุนายนก็ยังไม่เอื้อให้ทำแบบนั้นได้) เลยต้องซื้อทั้งขาขึ้นและขาลง (ตอนแรกๆ คุณป้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขายตั๋วทำหน้างงใส่ผู้เขียนทำนองว่าขึ้นไปแล้วจะไม่ลงมารึไง จะซื้อแค่ขาขึ้นขาเดียว และขืนลงมาโดย Trekking คงมาไม่ถึงเมือง Zermatt ข้างล่างแน่ เพราะตัวคงกองรวมอยู่กับหิมะแถวนั้น)

ใน Gonergrat Bahn เต็มไปด้วยนักเล่นสกีแต่งชุดเตรียมเล่นสกีและอุปกรณ์สกีเต็มรูปแบบ เราก็เลยเหมือนคนแปลกหน้าในขบวนรถไฟที่เป็นกลุ่มคนหัวดำ สะพายเป้และกล้อง แต่เราไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว นั่งชมวิวตลอดเส้นทางอย่างมีความสุข

Gonergrat Bahn ค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนไปถึงบริเวณยอดเขาที่สถานี Gonergrat ก็จอดให้นักสกีเหล่านั้นรวมทั้งเราลงมาชมทิวทัศน์ ผลจากการไม่แคร์สื่อของพวกพี่ๆ หลังจากถ่ายรูปกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันจนหนำใจแล้ว และเริ่มเบื่อหน้ากันเอง เริ่มมองหาหนุ่มนักสกีหน้าตาหล่อ ตัวสูงใหญ่ ผิวขาว ผมทอง ซึ่งยืนกันอยู่กลาดเกลื่อน และแล้วก็มีผู้นำอย่างพี่โป่งและพี่จุ๋มเข้าไปขอชักรูปคู่กับกลุ่มหนุ่มนักสกีเหล่านั้นอย่างไม่เกรงใจคน (หนุ่มหรือแก่) ที่บ้าน จากนั้นก็มีพฤติกรรมเอาอย่างของพี่ๆ สาวโสดที่เหลือทำเลียนแบบบ้าง แต่หลังๆ เห็นกลุ่มหนุ่มผมทองเขาไปเล่นสกีกันหมด ที่เหลือก็เห็นมีแต่หนุ่มที่เหลืออายุน้อยเต็มใจถ่ายรูปคู่กับกลุ่มพี่ๆ (คงคิดว่าก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ขบวนสุดท้ายแล้ว)

เราใช้เวลาบนยอดเขานั้นค่อนข้างนานพอสมควร แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าหิมะตกหนักทำให้สภาพอากาศไม่ดีพอที่เราจะเห็น Matterhorn ได้ใกล้ๆ แต่ก็ยังดีที่เราสามารถจับภาพ Matterhorn ได้หลังจากที่เราลงมาข้างล่างแล้ว

เวลาที่ผ่านไปใน Zermatt ดูเหมือนจะเชื่องช้าค่อยไปค่อยไป สมกับเป็นเมืองที่เหมาะแก่การพักผ่อนแบบสงบๆ ในช่วงเย็นหลังจากลงมาจากยอดเขาแล้ว แต่ละคนมีภารกิจและความสนใจที่แตกต่างกันไป พี่ๆ หลายคนต้องการซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน สำหรับตัวผู้เขียนเองใช้เวลาช่วงเย็นของวันนั้น ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่หาได้ยากยิ่งในช่วงชีวิตหนึ่งของตนเองบริเวณระเบียงชั้นสองของ Hostel กับกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่นถ้วยหนึ่ง พลางมองทิวทัศน์รอบตัวที่เต็มไปด้วยอากาศที่สดชื่น ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ พร้อมความคิดที่อยากจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

(หมายเหตุ: ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะได้กลับไป Zermatt ในอีกสองเดือนถัดไป แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับครั้งแรก เพราะเดินทางคนเดียวทำให้รู้สึกเหงาคิดถึงพวกพี่ๆ ที่เคยไปด้วยกัน แถมฝนตกทำให้บรรยากาศดูเศร้าลงไปอีก)