ดังนั้นเพียงแค่วันที่สองในลอนดอน เราก็ไม่พลาดที่จะไปทำเท่ห์ที่ร้านเป็ด Four Seasons ร้านเป็ดชื่อดังของลอนดอน ซึ่งเขามีอยู่สามสาขา สำหรับสาขาที่เราไปเป็นสาขาแรกดั้งเดิมของร้านเขาตั้งอยู่ถนน Queenways ย่าน Bayswater ส่วนอีกสองสาขาที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ย่านๆ โซโห
ขอบอกว่ารสชาดอร่อยสมคำร่ำลือ ขนาดพี่รินที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักษาสุขภาพและระวังเรื่องอาหารมาก ยังอดใจไว้ไม่อยู่เลย สำหรับค่าเสียหายไม่แพงเลยเราเฉลี่ยกันแปดคนคิดเป็นเงินไทย คนละไม่ถึงพันบาทได้มั้ง(ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดถ้าผิดเดี๋ยวก็จะมีพี่อ้อยหนึ่งในสมาชิกมา comment ตามข้างล่างอย่างแน่นอน)
ร้านอาหารอีกร้านที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ร้าน "Pret A Manger" ร้านนี้ออกแนวเป็นร้านขายอาหารจานด่วนที่คำนึงถึงสุขภาพลูกค้ามากกว่าร้านอาหารจานด่วนชื่อดังหลายๆ ร้าน ดังนั้นเมนูของร้าน Pret A Manger เลยมีทั้งสลัดหน้าตาหลากหลาย น้ำผลไม้นานาชนิด หรืออาหารแนว fusion ทั่วไป เลยทำให้พี่ๆ เขาติดใจมาฝากท้องที่ Pret A Manger อยู่หลายมื้อเหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องราคาผู้เขียนว่าก็ไม่เรียกว่าถูก แต่ก็ไม่แพงถ้าเทียบกับมาตรฐานการครองชีพในกรุงลอนดอน
(บรรยากาศในร้าน Pret A Manger สาขาหน้าสวนสาธารณะ Green Park กับลูกค้าผู้มีเกียรติชาวไทย)
เสร็จสิ้นเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว ก็ต้องมีกำลังวังชาเดินท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ได้แล้ว ผู้เขียนขอย้ำว่า เดินจริงๆ ในแต่ละวันถ้าไม่นับการนั่งรถไฟใต้ดิน ที่เหลือคือการเดิน ไม่ว่าจะเดินขึ้นลงสถานีรถไฟใต้ดิน เดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งก็ไม่อยากจะมานั่งคิดว่าในแต่ละวันพวกเราต้องใช้สองขาเนี่ยเดินเป็นระยะทางกี่กิโลเมตรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือพวกเรารู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า "เดินจนขาลาก" ก็เที่ยวนี้เอง คือเรียกว่าถ้าเิดินแล้วต้องเดินเรื่อยๆ ไม่หยุด อย่าได้คิดลงนั่งเพราะจะไม่อยากลุกขึ้นยืนเพราะกล้ามเนื้อขามันตึงไปหมด แต่ก็อีกนั่นแหละคนเราลองเมื่อยขาแล้ว ก็ต้องหาโอกาสนั่งพักให้ได้ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม
เครดิตรูปภาพ: จากกล้องพี่จุ๋ม พี่ริน และรูปที่แอบถ่ายโดยพี่อ้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น