วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

กลับมาเขียนอีกครั้ง

หลังจากห่างหายไปจากบล็อกนี้ไปนานแสนนาน นึกอยากกลับมาเขียนอีกครั้ง เข้ามาดูมีวีดีโอที่ใช้การไม่ได้อยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว เลยต้องมีการ upload ใหม่ เพื่อเป็นการเก็บความทรงจำที่ดีดีในอดีตไว้ และคงได้กลับมาเขียนเรื่องใหม่ๆ อีกครั้งในเร็ววัน

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

รถไฟไปไม่ถึง Vienna !!!

ในช่วงเช้าของวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จะมีช่วงพักบ้างราวๆ สองสามชั่วโมงที่ซูริค นอกจากจะแวะกินข้าวกลางวันที่ซูริคแล้ว พวกพี่ๆ ยังใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วยการช็อปปิ้ง ที่เห็นๆก็มีพี่รินซื้อนาฬิกาไปฝากเพื่อน (หรือเพื่อนฝากซื้อก็ไม่รู้)

จากซูริคเรานั่งรถไฟด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งออสเตรีย (Austrian Federal Railways: OBB) ที่เรียกว่า "Railjet” ขบวนที่ ๑๖๙ ออกจากซูริคเวลาบ่ายสองโมงสี่สิบนาที พวกเราประทับใจการให้บริการของพนักงานของรถไฟสายนี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับการจองที่นั่งเหมือนรถไฟสายด่วนอื่นๆ แล้ว ยังมีบริการเครื่องดื่มและของว่างให้ด้วย (เข้าใจว่าจะบริการเฉพาะผู้โดยสารชั้น 1) สภาพภายในของ Railjet ค่อนข้างสะอาด เบาะที่นั่งค่อนข้างกว้าง และมีจอมอนิเตอร์คอยบอกเวลาถึงและออกตามสถานีต่างๆ เรียกว่าสะดวกสบายเหนือความคาดหมายทีเดียว

แม้ว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเรามีโอกาสได้สัมผัสและได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของประเทศสวิสที่มีทั้งทะเลสาปและภูเขาสูงที่บนยอดยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ แต่วันนี้เราก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อขบวนรถไฟของเราเดินทางมาถึงพรมแดนของออสเตรียที่ข้างทางเต็มไปด้วยเทือกเขาสูงที่ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก ในช่วงเส้นทางบริเวณนี้รถไฟวิ่งได้ค่อนข้างช้าเนื่องจากข้างทางเป็นหุบเขา ยังไงก็ตามนั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่สร้างความหงุดหงิดใจให้เราแต่อย่างใด เพราะพวกเราแต่ละคนเพลิดเพลินและตื่นเต้นกับทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทาง

รถไฟพาเราแล่นผ่านและแวะจอดรับส่งผู้โดยสารตามสถานีชื่อต่างๆ ที่เกือบจะทั้งหมดผู้เขียนไม่รู้จัก พอจะคุ้นชื่ออยู่สองเมืองเท่านั้นคือ อินซ์บรุค (Innsbruck) และซาลซ์บูร์ก (Salzburg) ที่เป็นบ้านเกิดของโมสาร์ทนักดนตรีชื่อดังชาวออสเตรียและเป็นฉากของภาพยนต์เรื่องดัง "Sound of Music"

พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าไปนานแล้วและที่มาแทนที่คือแสงจันทร์ แสงดาวและแสงไฟนีออนในตู้รถไฟของเรา รถไฟก็ยังคงพาเราเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้เวลาจะสี่ทุ่มผู้เขียนจึงเหลือบตามองไปที่จอมอนิเตอร์ ที่เห็นอยู่ในนั้นคือชื่อสถานีถัดไปที่เหลืออยู่เพียงสองชื่อเท่านั้น และสองชื่อนั้นก็ไม่มีชื่อ Viennaอันเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของเราแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจว่าที่เดินทางมาตลอดทั้งวันนี้พวกเรานั่งรถไฟมาผิดขบวน เพราะเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายไม่มีทางเดินทางถึงสถานีรถไฟ "เวียนนา" หรือ “Vienna” เมืองหลวงแห่งประเทศออสเตรียได้ เพราะที่ท่านจะเห็นจะมีแต่ สถานีรถไฟ "วีน" หรือ “Wien” เท่านั้น ซึ่งสถานี Wien มีหลากหลายมาก ที่สำคัญคือ “Wien Westbahnhoff” (สถานีหลัก) , “Wien Sudbahnhoff”, “Wien Meidling” ดังนั้นถ้าจะพูดว่ารถไฟพาเราไปไม่ถึง Vienna เห็นจะไม่เกินจริงแต่อย่างใด

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางโดยรถไฟในวันนี้จนได้เมื่อตอนเกือบๆ ห้าทุ่ม เมื่อ Railjet ๑๖๙ พาพวกเรามาถึง “Wien Westbahnhoff” และการผจญภัยกิจกรรมแรกกลางดึกคืนนี้คือการตามหา hostel ซึ่งเป็นที่พักของเราก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เที่ยวเซอร์แมทท์ ครั้งเดียวไม่พอ

เราออกจากปารีสเมื่อเวลา ๐๗.๒๔ น. โดยเราต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟในฝรั่งเศสสองถานีถึงจะเดินทางเข้าเขตสวิตเซอร์แลนด์ สถานีแรกคือ Strasbourg และสถานีที่สองคือ Mulhouse Ville และจาก Mulhouse Ville ใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมงเราจึงเดินทางถึงเมือง Basel ของสวิส

การลงรถไฟพร้อมทั้งแบกสัมภาระของตนเองลงมาด้วยนั้นค่อนข้างเป็นงานหนักไม่ใช่เล่น พี่โป่งก็เลยมีความคิดว่าช่วยๆ กันน่าจะดีกว่า ก็เลยออกมาเป็นภาพอย่างที่เห็น ขณะที่สองสามคนรอรับกระเป๋าอยู่ข้างล่าง คนที่เหลือก็คอยส่งกระเป๋าของทุกคนลงมา แค่นี้ก็เรียบร้อย

เราใช้เวลาอยู่ที่สถานี Basel ได้ไม่นานนักเราก็ต้องเดินทางต่อไปยัง Luzern โดยเราพอจะมีเวลาเที่ยวชมความงามของเมือง Luzern อยู่บ้างสักสเามชั่วโมงก่อนจะเดินทางไป Zermatt ต่อไป

หลังจากที่ฝากสัมภาระไว้ในตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญแล้ว ทีนี้กลุ่มเราก็สามารถลั้นลาใน Luzern ได้อย่างสบายใจ ที่จะไม่ไปเยือนเห็นจะไม่ได้คือสะพาน Chapel หรือ Chapel Bridge ที่เป็นสะพานไม้เก่าแก่ และเป็นสัญญลักษณ์ของเมือง Luzern จากนั้นเราก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อจะไปชมอนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารสวิสหรือ Swiss Guards ที่เสียชีวิตในสมัยสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส แต่กว่าที่พวกเราจะไปถึงอนุสาวรีย์สิงโตได้ ตามเส้นทางที่เดินผ่านก็มีแต่สิ่งของล่อตาล่อใจพวกพี่ๆ และนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหลาย จะเป็นอะไรไปได้นอกจากสินค้าขึ้นชื่อของสวิส นั่นก็คือนาฬิกานั่นเอง บางร้านแสดงป้ายธงไทยเขียนเป็นภาษาไทยเสร็จสรรพว่าสุขสันต์วันสงกรานต์อะไรประมาณนั้น (เพราะช่วงนั้นใกล้เทศกาลสงกรานต์) ผู้เขียนเห็นแล้วไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี แสดงว่าคนไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ไม่ใช่เล่นในสวิส

สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญญลักษณ์ของ Luzern อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าใดนัก ทำให้เรามีเวลาพอที่จะชมวิวทะเลสาป Luzern ชมตลาดนัด และต่อแถวซื้ออาหารท้องถิ่น ก่อนที่จะรอขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปเมือง Brig ต่อไป

จาก luzern เรามาแวะเปลี่ยนรถไฟที่เมืองหลวงของสวิสก็คือ Bern จากนั้นจึงจะต่อรถไฟอีกขบวนมาลงที่เมือง Brig

จะเห็นว่าวันนี้ทั้งวันเราขึ้นลงรถไฟจนขี้เกียจนับครั้งว่าขึ้นมาแล้วกี่ขบวน ทั้งหมดทั้งปวงเราใช้ Eurail Pass เป็นบัตรผ่าน ซึ่งนับว่าคุ้มค่ากับราคาจริงๆ แถมตู้ที่นั่งเป็นชั้นหนึ่งตลอด ในภาพจะเห็นว่าทั้งตู้ไม่มีใครเลยมีแต่พวกเราเท่านั้นที่ครอบครอง นั่นก็เป็นเพราะว่าคนท้องถิ่นเขาไม่ชอบนั่งรถไฟชั้นหนึ่งเพราะราคาแพง

เรามาถึงเมือง Brig เมื่อท้องฟ้าค่อนข้างสลัวแล้ว จากชานชาลาของสถานี Brigเราต้องเดินออกมานอกตัวสถานีถึงบริเวณ "Brig Bahnhofplatz" เพื่อมาต่อรถไฟเส้นทางที่จะไป Zermatt โดยเฉพาะที่มีชื่อว่า "Matterhorn Gotthard Banh” ซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของกิจการ โดยรถไฟสายนี้ถ้าจะว่าไปก็คล้ายๆ กับ “Glacier Express” ที่เป็นรถไฟสายชมวิวที่เดินรถไปในเส้นเดียวกันคือ ระหว่าง Zermatt และ St. Moritz แต่ราคาค่าตั๋วของ Matterhorn Gotthard Banh จะถูกกว่าเพราะคุณภาพการให้บริการและคุณภาพของตู้รถไฟไม่เท่ากับ “Glacier Express” ที่เป็นรถไฟแบบ Panorama Car มีกระจกบานใหญ่เห็นทิวทัศน์ร้อยแปดสิบองศามีตู้เสบียงไว้บริการอาหารชั้นยอดแก่ผู้โดยสาร อะไรประมาณนั้น

Eurail Pass ของเราไม่สามารถใช้บริการของ Matterhorn Gotthard Banh แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนกับ SBB หรือ Swiss Federal Railways ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข เราเลยต้องเสียเงินซื้อตั๋วสำหรับรถไฟขบวนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็มีส่วนลดให้กับผู้โดยสารที่ถือ Eurail Pass ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าจะเหลือประมาณคนละยี่สิบกว่าฟรังก์สวิส

เส้นทางเดินรถระหว่าง Brig Bahnhofplatz และ Zermatt นั้นต้องผ่านสถานีต่างๆ แปดสถานี สถานีหลักๆ ที่ผู้เขียนพอจะจำได้จากการนั่งรถไฟผ่านมาแล้วทั้งไปและกลับจำนวนสี่รอบ (เพราะไปมาสองครั้ง) คือ Visp, St Niklaus, Randa, Tasch และก็ Zermatt ที่เป็นสถานีปลายทาง เห็นอย่างนี้ก็เถอะนะใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวไปมา อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นคนชอบภูเขาก็เลยคิดว่าทิวทัศน์ตั้งแต่สถานี St Niklaus สวยและมีบรรยากาศดี

เรามาถึงสถานี Zermatt เมื่อตอนค่ำแล้ว เวลา ณ ขณะนั้นประมาณสองทุ่มเศษเห็นจะได้ หันไปมองที่บริเวณรอบสถานีก็เห็นตัวอักษรภาษาต่างๆ ที่เขียนต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนมีภาษาไทยคำว่า "ยินดีต้อนรับ" เด่นเป็นสง่ากับเขาด้วย เอาเป็นว่าเมือง Zermatt เขาทำให้เราประทับใจตั้งแต่มาถึงเลยเชียว

เรานำแผนที่ของ Zermatt Hostel ขึ้นมาดู ตอนแรกก็คิดว่าจะใช้การเดินเท้าเอา แต่พอดูสภาพภูมิประเทศและก็ช่วงเวลาแล้ว ไม่ได้เป็นใจให้เราทำแบบนั้นเลย เพราะถ้าจะเดินเราต้องเดินขึ้นเขาและขณะนั้นก็ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ยากแก่การเดินหาเสียเหลือเกิน เราเลยเรียกรถแท๊กซี่ที่เป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กที่จอดรออยู่บริเวณนั้นให้ไปส่ง ซึ่งแต่ละคันสามารถบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระได้แค่สองคนก็เลยต้องใช้บริการทั้งหมดสี่คัน ที่เมือง Zermatt แห่งนี้มีกฎเกณฑ์ห้ามการใช้รถส่วนตัวหรือ car-free และเป็นเมืองที่ปลอดมลภาวะ ดังนั้นรถที่ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นรถรับ-ส่งแขกของโรงแรม รถแท๊กซี่ รถเมล์โดยสารทุกชนิด เป็นรถที่ใช้แบตเตอรีหรือไฟฟ้า สำหรับคนที่นำรถส่วนตัวมาเขาจะอนุญาตให้นำรถมาจอดได้แค่เมือง Tasch หลังจากนั้นให้นั่ง Zermatt Shuttle เข้ามา

อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมารถแท๊กซี่ก็พาเรามาถึง Zermatt Hostelling ซึ่งดูจากสภาพที่ตั้งแล้วก็นึกในใจว่าคิดถูกแล้วที่มาแท๊กซี่ ขืนเดินมาเองคืนนี้ทั้งคืนก็หาไม่เจอ เมื่อเราเข้าไปใน Hostel ก็เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งรอการมาของพวกเราอยู่ก่อนแล้ว เธอกล่าวต้อนรับและพูดคุยกับเราด้วยความเป็นมิตร เราใช้เวลา check in ไม่นานนักก็ขึ้นห้องพัก พวกเราชอบสภาพห้องพักของ Hostel ที่นี่มาก ถึงแม้จะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว แต่บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างเป็นส่วนตัว สะอาดและสงบเงียบ

พวกเราตื่นขึ้นมาเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับไปใช้บริการอาหารมื้อเช้าของ Hostel ที่รวมอยู่ในค่าห้องของเราแล้ว และนอกเหนือจากมื้อเช้าแล้วเขายังให้บริการอาหารเย็นอีกด้วย ซึ่งเราชอบมากๆ อาหารก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว (แต่กลิ่นถุงเท้าของพ่อครัวต้องปรับปรุง พี่ๆ เขาพูดมาว่ายังงั้น) เช้าวันนี้เรามีกำหนดที่จะขึ้นรถไฟ Gonergrat Bahn เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดเทือกเขาแอลป์ และเมื่อขึ้นไปแล้วถ้าโชคดี อากาศเป็นใจเราก็อาจจะได้เห็นแมทเทอร์ฮอร์น Matterhorn ใกล้ๆ

ผู้อ่านที่เป็นนักดูหนังคงจะคุ้นเคยกันดีกับ intro ของบริษัท Paramount Pictures ที่มีโลโก้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง



อาจจะมีหลายท่านไม่เคยตั้งข้อสังเกตหรือสงสัยว่าเป็นยอดเขาอะไร เพราะสนใจแต่เนื้อหาของหนังที่จะตามมาหลังจากนั้น แต่ก็อาจจะมีอีกหลายๆ ท่านที่ทราบว่าเป็นภูเขาอะไร



หรือใครหลายๆ คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลตของสวิสที่มีชื่อเสียงอย่าง Toblerone ก็อาจเคยสังเกตเห็นหน้ากล่องเป็นรูปภูเขา ทั้งสัญญลักษณ์ของ Paramount Pictures และ Toblerone ก็คือ Matterhorn ภูเขาที่เรากำลังจะไปหาขณะนี้นั่นเอง

Matterhorn เป็นภูเขารูปสามเหลี่ยมปิรามิดที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี โดยเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ (ประมาณ สี่พันกว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล) บริเวณที่ตั้งของ Matterhorn มีบรรยากาศและความท้าทายที่ชวนเรียกร้องให้นักไต่เขาใช้ความพยายามที่จะพิชิตยอดเขา Matterhorn ให้ได้ เพราะ Matterhorn เป็นหนึ่งของยอดเขาที่ได้ชื่อว่าพิชิตยากที่สุด ที่ผ่านๆ มามีนักปีนเขานำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นจำนวนมาก โดยเราจะเห็นได้จากหลุมฝังศพที่เรียงรายอยู่ในสุสานของเมือง Zermatt

พวกเราใช้ Eurail Pass เพื่อขอส่วนลดจากการซื้อตั๋ว Gonergrat Bahn (จำราคาไม่ได้เสียแล้ว) โดยเป็นตั๋วทั้งขาขึ้นและลง นอกเหนือจาก Gonergrat Bahn แล้ว การเดินทางไปจุดสูงสุดของยอดเขาแอลป์มีอีกหลากลายทาง เช่น กระเช้า Matterhorn Glacier Paradise หรือ Rothorn ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ www.zermatt.ch/en/page.cfm/experience/peaks/gornergrat


ที่จริงความตั้งใจของผู้เขียนนั้นอยากจะเดินทางขึ้นแค่ขาเดียว เพราะตอนขาลงอยากจะใช้วิธี Trekking ลงมาเพื่ออยากจะมาเก็บภาพเงาของ Matterhorn ที่สะท้อนลงบนผืนทะเลสาป Riffel



แต่บรรยากาศช่วงที่ไปครั้งแรกที่เต็มไปด้วยหิมะที่ยังไม่ละลายถึงแม้จะล่วงเข้าเดือนเมษายนแล้ว (ครั้งที่สองที่ไปเมื่อเดือนมิถุนายนก็ยังไม่เอื้อให้ทำแบบนั้นได้) เลยต้องซื้อทั้งขาขึ้นและขาลง (ตอนแรกๆ คุณป้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขายตั๋วทำหน้างงใส่ผู้เขียนทำนองว่าขึ้นไปแล้วจะไม่ลงมารึไง จะซื้อแค่ขาขึ้นขาเดียว และขืนลงมาโดย Trekking คงมาไม่ถึงเมือง Zermatt ข้างล่างแน่ เพราะตัวคงกองรวมอยู่กับหิมะแถวนั้น)

ใน Gonergrat Bahn เต็มไปด้วยนักเล่นสกีแต่งชุดเตรียมเล่นสกีและอุปกรณ์สกีเต็มรูปแบบ เราก็เลยเหมือนคนแปลกหน้าในขบวนรถไฟที่เป็นกลุ่มคนหัวดำ สะพายเป้และกล้อง แต่เราไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว นั่งชมวิวตลอดเส้นทางอย่างมีความสุข

Gonergrat Bahn ค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนไปถึงบริเวณยอดเขาที่สถานี Gonergrat ก็จอดให้นักสกีเหล่านั้นรวมทั้งเราลงมาชมทิวทัศน์ ผลจากการไม่แคร์สื่อของพวกพี่ๆ หลังจากถ่ายรูปกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันจนหนำใจแล้ว และเริ่มเบื่อหน้ากันเอง เริ่มมองหาหนุ่มนักสกีหน้าตาหล่อ ตัวสูงใหญ่ ผิวขาว ผมทอง ซึ่งยืนกันอยู่กลาดเกลื่อน และแล้วก็มีผู้นำอย่างพี่โป่งและพี่จุ๋มเข้าไปขอชักรูปคู่กับกลุ่มหนุ่มนักสกีเหล่านั้นอย่างไม่เกรงใจคน (หนุ่มหรือแก่) ที่บ้าน จากนั้นก็มีพฤติกรรมเอาอย่างของพี่ๆ สาวโสดที่เหลือทำเลียนแบบบ้าง แต่หลังๆ เห็นกลุ่มหนุ่มผมทองเขาไปเล่นสกีกันหมด ที่เหลือก็เห็นมีแต่หนุ่มที่เหลืออายุน้อยเต็มใจถ่ายรูปคู่กับกลุ่มพี่ๆ (คงคิดว่าก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ขบวนสุดท้ายแล้ว)

เราใช้เวลาบนยอดเขานั้นค่อนข้างนานพอสมควร แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าหิมะตกหนักทำให้สภาพอากาศไม่ดีพอที่เราจะเห็น Matterhorn ได้ใกล้ๆ แต่ก็ยังดีที่เราสามารถจับภาพ Matterhorn ได้หลังจากที่เราลงมาข้างล่างแล้ว

เวลาที่ผ่านไปใน Zermatt ดูเหมือนจะเชื่องช้าค่อยไปค่อยไป สมกับเป็นเมืองที่เหมาะแก่การพักผ่อนแบบสงบๆ ในช่วงเย็นหลังจากลงมาจากยอดเขาแล้ว แต่ละคนมีภารกิจและความสนใจที่แตกต่างกันไป พี่ๆ หลายคนต้องการซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน สำหรับตัวผู้เขียนเองใช้เวลาช่วงเย็นของวันนั้น ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่หาได้ยากยิ่งในช่วงชีวิตหนึ่งของตนเองบริเวณระเบียงชั้นสองของ Hostel กับกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่นถ้วยหนึ่ง พลางมองทิวทัศน์รอบตัวที่เต็มไปด้วยอากาศที่สดชื่น ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ พร้อมความคิดที่อยากจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

(หมายเหตุ: ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะได้กลับไป Zermatt ในอีกสองเดือนถัดไป แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกับครั้งแรก เพราะเดินทางคนเดียวทำให้รู้สึกเหงาคิดถึงพวกพี่ๆ ที่เคยไปด้วยกัน แถมฝนตกทำให้บรรยากาศดูเศร้าลงไปอีก)

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทรงพระเจริญ

ครั้งแรกในชีวิตข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ ที่ได้มีโอกาสทำงานรับใช้ในฐานะข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว ผลัดเวรเฝ้าครั้งแรกก็ได้รับมอบหมายในวันสำคัญที่ปลาบปลื้มใจที่สุด วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 ขอจงทรงพระเจริญ

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Mac come back

เรื่องเล่าเที่ยวยุโรป เวียนนาภาคต่อ กำลังจะกลับมา :)

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันของพ่อ

แม้จะล่วงเลยวันที่ ๕ ธันวาคมมาเกือบครบอาทิตย์ แต่ทุกๆ ปี ผู้เขียนไม่เคยลืมที่จะเขียนถึงวันสำคัญของคนไทยทั้งมวล คือวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นที่รักของ "คนไทย" ทั้งมวล ขอย้ำว่า "คนไทย" ผู้ใดผิดไปจากนี้คงไม่นับว่าเป็น "คนไทย"

พอดีว่าวันที่ ๕ ธันวาคม ปีนี้ผู้เขียนไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่ก็ติดตามข่าวถึงการเฉลิมฉลองวาระสำคัญนี้จากข่าว CNN ที่ถ่ายทอดเป็นหัวข้อข่าว world news พร้อมทั้งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ "Angle Princess" สมเด็จพระเทพฯ ของเี่ราด้วย โดยมีการโปรยหัวข้อข่าว "Eye on Thailand"


ผู้เขียนก็คงเหมือนๆ กับคนไทยจำนวนมากที่ขอถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ทรงพระเจริญ" มีพระพลานามัยที่แข็งแรง ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนไทยตราบนานเท่านาน และในฐานะที่เป็นข้าราชการของในหลวงอยากจะพูดว่า "ความจงรักภักดี" ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมไม่เสื่อมคลาย

"Long Live my Beloved King"








video credit to youtube by MorpiumsVideos, baffevideo

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตั๋วใบเดียว เที่ยวได้ทั่วยุโรป (Just one Pass, you are free to go)

พวกเราออกจากปารีสเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเช้าตรู่ของวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๔ โดยก่อนหน้าที่เราจะออกจาก Paris Clichy Youth Hostel บรรยากาศช่างเหมือนกับวันที่เรากำลังจะออกเดินทางจากลอนดอนคือมีฝนตกโปรยปรายลงมา ทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะเรียกรถแท๊กซี่จาก Youth Hostel เพื่อมารอขึ้นรถไฟที่สถานี Paris Est Train Station หรือที่รู้จักกันตามภาษาฝรั่งเศสคือ Gare de l'Est ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Gare du Nord ที่พวกเรามาถึงในวันแรกสักเท่าไหร่

ที่ปารีสมีสถานีรถไฟใหญ่อยู่ทั้งหมด ๖ สถานี คือ สถานี Gare du Nord หรือสถานีรถไฟสายเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเส้นทางเดินรถไปเมืองต่างๆ ทางเหนือของฝรั่งเศส และถ้าเป็นรถไฟข้ามประเทศก็จะเป็นการเดินรถระหว่างฝรั่งเศสกับประเทศสหราชอาณาจักร เบลเยี่ยม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น

สถานี Gare de l'Est หรือสถานีรถไฟสายตะวันออก เป็นเส้นทางเดินรถไปเมืองต่างๆ ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส รวมไปถึงเป็นเส้นทางเดินรถระหว่างฝรั่งเศสและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก รวมทั้งเมืองทางตอนใต้ของเยอรมนี

สถานี Gare Montparnasse เป็นสถานีเดินรถไปเมืองต่างๆ ในทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เช่น Rennes (เมืองที่พวกเราแวะไปต่อรถโดยสารเพื่อไปเที่ยวมงต์แซ็งมิเชล)

สถานี Gare de Lyon หรือสถานีเดินรถไฟไปเมืองทางใต้ของฝรั่งเศส โดยชื่อ Lyon นั้นนำมาจากชื่อเมือง Lyon ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางค่อนไปทางตะวันออกของฝรั่งเศส เมืองนี้มีทิวทัศน์และภูมิสถาปัตย์ที่สวยงามมาก โดยเมือง Lyon อยู่ห่างจากเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง ๑๖๐ กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งมีระยะทางที่ใกล้กว่าระยะทางระหว่างปารีสและ Lyonที่มีระยะทางห่างกันถึง ๔๗๐ กิโลเมตร

สถานี Gare Saint-Lazare เป็นสถานีเดินรถไฟชานเมืองทางตะวันตกของปารีส และเป็นเส้นทางเดินรถไฟไปนอร์มังดีด้วย

สถานี Gare d'Austerlitz เป็นสถานีสำหรับการเดินรถไฟระหว่างปารีสและเมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) เมืองท่าสำคัญที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส และนอกจากนี้สถานีรถไฟแห่งนี้ยังเป็นสถานีต้นทางและปลายทางของรถไฟด่วนกลางคืนขบวน Elipsos Train Hotelที่ให้บริการเสมือนหนึ่งเป็นโรงแรม ที่วิ่งระหว่าง Gare d'Austerlitz และมาดริด และบาร์เซโลนา ของประเทศสเปน ดังนั้นผู้โดยสารที่จะเดินทางออกจากปารีสไปเมืองต่างๆ ด้วยรถไฟจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานีต้นทางคือที่ใดกันแน่ มิฉะนั้นจะเสียเวลาและที่แย่ไปกว่านั้นก็อาจจะพลาดขบวนรถไฟก็เป็นได้

โชเฟอร์แท๊กซี่ชาวปารีเซียงขับรถพาเราชมเมืองปารีสตอนเช้าตรู่อยู่นานพอสมควรจนมิเตอร์ขึ้นราคาจนพี่โชเฟอร์พอใจ (คิดว่าเราไม่รู้เหรอว่าขับอ้อมไปอ้อมมา) ก็มาส่งพวกเราที่หน้าประตูทางเข้าสถานี Gare de l'Est โดยสวัสดิภาพ สิ่งที่เราต้องทำก่อนสิ่งอื่นใดเมื่อเข้าไปถึงสถานีคือการตรวจสอบหมายเลขชานชาลาของขบวนรถไฟที่เราจะเดินทาง เพราะสถานีรถไฟตามเมืองใหญ่ๆ ของยุโรปกว้างขวางมาก บางที่ชานชาลาก็มีหลายชั้นดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ประมาทเราจะต้องตรวจสอบหมายเลขชานชาลาของขบวนรถที่เราจะโดยสารให้แน่นอน และเตรียมเผื่อเวลาในการเดินไปรอรถที่ชานชาลานั้นๆ โดยผู้โดยสารสามารถตรวจสอบได้จากป้ายบอกเวลาของขบวนรถไฟขาออก (Departure Board) หรือเจ้าหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์



ในวันนี้กลุ่มของเรามีกำหนดเดินทางออกจากปารีสโดยมีจุดหมายปลายทางที่เมือง เซอร์แมทท์ (Zermatt) เมืองแห่งยอดเขาแมทเทอฮอร์น ยอดเขาที่โด่งดังและสวยที่สุดในเทือกเขาแอลป์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงตรงนั้นได้เราจะต้องมีตั๋วโดยสารเสียก่อน เมื่อสองสามตอนก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าตั๋วโดยสารตลอดการเดินทางในยุโรปซึ่งตั้งต้นจากปารีสตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราใช้ตั๋วที่เรียกว่า"ยูเรลพาส (Eurail Pass)” ยูเรลพาสคืออะไรและมีวิธีการใช้อย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักตั๋วชนิดนี้กัน เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่มีแผนการเดินทางไปเที่ยวยุโรป



ยูเรลพาส เป็นผลิตภัณฑ์ตั๋วโดยสารการเดินทางด้วยรถไฟของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป (บางกรณียูเรลพาสสามารถใช้ได้กับการเดินทางโดยเรือโดยสารได้ด้วย ซึ่งจะกำหนดไว้ในเงื่อนไขของการใช้ตั๋ว) ทั้งนี้ผู้ที่มีสิทธิใช้ยูเรลพาสต้องเป็นผู้มีสัญชาติอื่นนอกประชาคมยุโรปเท่านั้น ทั้งนี้หน่วยงานที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ยูเรลพาสได้แก่ "Eurail Group” ที่เป็นการรวมตัวขององค์กรตัวแทนของผู้ดำเนินกิจการรถไฟในทวีปยุโรปสามสิบองค์กร

ประเภทของ "ยูเรลพาส" มี ๔ ประเภท คือ Eurail Global Pass ที่สามารถใช้เป็นตั๋วรถไฟเดินทางไปได้ทั่วยุโรปใน ๒๒ ประเทศ (ยกเว้นสหราชอาณาจักร ที่ประกอบด้วยอังกฤษ เวลส์ และสก็อตแลนด์ ที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน Eurail ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่สามารถใช้ Eurail Pass เป็นตั๋วเดินทางออกจากประเทศอังกฤษได้)

Eurail Select Pass ใช้เป็นตั๋วรถไฟเดินทางได้ในสามประเทศ สี่ประเทศ และห้าประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่าประเทศเหล่านั้นต้องมีอาณาเขตติดต่อกันเป็นลำดับ เช่น ถ้าเลือกซื้อ Eurail Select Pass สำหรับสามประเทศโดยเริ่มต้นเดินทางจากฝรั่งเศสและเดินทางต่อไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเดินทางต่อไปยังประเทศออสเตรียซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับสวิตเซอร์แลนด์ โดยผู้ถือตั๋ว Eurail Select Pass จะเดินทางเข้าออกภายในสามประเทศที่ว่านั้นกี่ครั้งก็ได้ตามจำนวนวันที่ระบุไว้หน้าตั๋ว กรณีนี้ถือว่าถูกต้องตามเงื่อนไขของตั๋ว

Eurail Regional Pass ใช้เป็นตั๋วโดยสารสำหรับการใช้รถไฟในสองประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกัน

และ Eurail National Pass สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเดียว (ตั๋วชนิดนี้ของ Eurail ผู้เขียนคิดว่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมของผู้โดยสารส่วนมาก ที่เห็นผู้โดยสารมักไปซื้อ Pass ของประเทศนั้นๆ มากกว่า เพราะจะได้รับส่วนลดสำหรับการใช้บริการประเภทอื่นๆ มากมาย เช่น Swiss Pass หากต้องการท่องเที่ยวเฉพาะในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น)

นอกจากนี้ Eurail Pass แต่ละประเภทก็จำแนกแยกย่อยราคาค่าตั๋วออกเป็นอีกหลายอย่าง ได้แก่ ตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยวรุ่นเยาว์อายุตั้งแต่ ๑๒ ถึง ๒๕ ปี หรือตั๋วสำหรับการเดินทางเป็นกลุ่มตั้งแต่ ๒ คน ขึ้นไปก็จะเรียกว่าเป็นประเภท Saver คือลดราคาลงมาจากค่าตั๋วปกติ ตั๋วประเภทที่มีวันเดินทางแบบต่อเนื่องกันที่เรียกว่า “Consecutive” หรือตั๋วที่มีวันการเดินทางที่ไม่ต่อเนื่อง ที่เขาใช้คำว่า "Flexi” ราคาค่าตั๋วก็จะต่างกันอีก

รายละเอียดต่างๆ ผู้ที่สนใจจริงๆ เพราะมีแผนที่จะเดินทางไปยุโรป สามารถศึกษาข้อมูลได้จากหลายเว็บไซต์ เช่น raileurope eurail และ seat61 ตามข้างล่าง

www.raileurope.com/index.html

www.eurailgroup.com/Rail%20Passes/Where%20to%20buy%20Eurail%20Passes.aspx

www.seat61.com

ที่นี้ก็จะเล่าถึงกรณีของกลุ่มเราว่าซื้อตั๋วแบบไหน ซื้อที่ไหน และใช้อย่างไร ก่อนอื่นเลยผู้เขียนต้องจัดทกำหนดการโดยคร่าวๆ ว่าจะมีวันไหนบ้างที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟ และการเดินทางของแต่ละวันใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลในรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของ raileurope แค่เราใส่ชื่อสถานีต้นทางและสถานีปลายทางในช่อง search ข้อมูลการเดินทางของรถไฟตามเส้นทางที่เราค้นหาก็จะปรากฏออกมาเพื่อเป็นข้อมูลให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
www.raileurope.com/us/rail/point_to_point/triprequest.htm


ในส่วนการเดินทางของพวกเราได้ข้อสรุปว่าจะมีการเดินทางโดยรถไฟจำนวนทั้งสิ้น ๕ วัน โดยเป็นการเดินทางแบบไม่ต่อเนื่องหรือ Flexi ดังนั้นตั๋ว Eurail Pass ที่เหมาะสมกับกลุ่มเราก็คือ Eurail Pass Saver Flexi แบบ ๕ ประเทศ (ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย สาธารณรัฐเชค และฮังการี)



ทีนี้มาถึงขั้นตอนการซื้อตั๋วว่าเราจะซื้อที่ไหน Eurail เขาเปิดเว็บไซต์ให้ลูกค้าสามารถซื้อผ่านเน็ตโดยจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตได้ที่เว็บไซต์ของ Eurail และเว็บไซต์ของsales agencies ซึ่งในส่วนของลูกค้าในประเทศไทยถ้าจะซื้อผ่านเน็ตต้องซื้อผ่านเว็บไซต์ของ raileurope และเนื่องจากการออกตั๋ว Eurail เขาไม่ได้ออกเป็น e-ticket ดังนั้นลูกค้าจึงไม่สามารถ print ตั๋วผ่าน e-mail address เหมือนกับตั๋วแบบอื่นได้ Eurail เขาจะส่งตั๋วให้ถึงประตูบ้านลูกค้าเลยเพียงแต่ว่านอกเหนือจากราคาค่าตั๋วแล้ว ลูกค้าจะต้องเสียค่าจัดส่ง Pass ผ่านไปรษณีย์ระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นไปอีก อีกอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าไม่ค่อยสะดวกในการซื้อแบบนี้คือเราไม่ค่อยมั่นใจว่า Pass จะส่งมาถึงเราได้ทันตามกำหนดการเดินทางหรือเปล่า จะมีเหตุขัดข้องระหว่างการจัดส่งหรือไม่ ดังนั้น Eurail เลยเปิดช่องทางอื่นให้ลูกค้าได้ซื้อ Pass ในประเทศของตัวเองได้เหมือนกัน

เราสามารถซื้อ Eurail Pass ในประเทศไทยผ่านทางบริษัทที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวและจำหน่ายตั๋วเดินทางประเภทต่างๆ ได้ เท่าที่ทราบรู้สึกว่ามีบริษัทท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในไทยแค่สองบริษัทที่ Eurail เขาอนุญาตให้เป็นผู้แทนจำหน่ายตั๋ว Eurail Pass โดยผู้เขียนสอบถามรายละเอียดต่างๆ จากทั้งสองบริษัทแล้ว ก็เลยเลือกที่จะซื้อจาก "กัลลิเวอร์ส แทรเวล แอสโซซิเอทส์ (ประเทศไทย)” โดยแผนกขายตั๋ว Eurail Pass อยู่ที่ตึกลุมพินีทาวเวอร์ ถนนพระรามสี่ เหตุผลคือ นอกเหนือจากราคาค่าตั๋วที่เราต้องจ่ายแล้ว เขายังคิดค่าใช้จ่ายในการออกตั๋วด้วย โดย กัลลิเวอร์ส แทรเวล คิดค่าออกตั๋วที่ถูกกว่า คือใบละ ๘๐๐ บาท ขณะที่อีกบริษัท (ไม่ขอเอ่ยชื่อแต่ไปหาดูก็ทราบได้เอง) คิดค่าออกตั๋วเป็นคนละ ๘๐๐ บาท มาถึงตรงนี้อาจจะงงว่าแตกต่างกันอย่างไร ระหว่าง "ใบละ" กับ "คนละ"

ตั๋วประเภท saver ที่เป็นตั๋วการเดินทางแบบกลุ่ม เขากำหนดให้ในตั๋วแต่ละใบระบุชื่อผู้เดินทางได้ตั้งแต่ ๒ ถึง ๕ คน ดังนั้นเราจึงต้องออกตั๋ว Eurail จำนวนสองใบ ซึ่งในแต่ละใบระบุชื่อผู้โดยสาร ๔ คน รวมสองใบก็จะครบจำนวนผู้เดินทางแปดคนพอดี ที่นี้ผู้อ่านคงจะเห็นความแตกต่างของลักษณะนามระหว่าง "ใบละ" และ "คนละ" แล้ว ถ้าซื้อผ่านกัลลิเวอร์ส แทรเวล แอสโซซิเอทส์ (ประเทศไทย) พวกเราก็มีค่าใช้จ่ายออกตั๋วคนละ ๒๐๐ บาท ถ้าซื้ออีกบริษัทก็ต้องเสียคนละ ๘๐๐ บาท (เป็นนโยบายของแต่ละบริษัทในช่วงต้นปี ๒๕๕๔ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตหรือไม่) และที่ทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกันอีกอย่างคือ กัลลิเวอร์ส แทรเวล เขาจะรับเงินเป็นเงินยูโรเท่านั้น ในขณะที่อีกบริษัทเขาจะรับเป็นเงินไทยที่คิดอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่เราไปซื้อ โดยเฉพาะกรณีของกลุ่มเราราคาค่าตั๋วเป็นเงินคนละ ๓๕๑ ยูโร

สำหรับวิธีใช้ตั๋ว Eurail Pass นั้น เริ่มแรกผู้โดยสารต้องนำตั๋วไปขอเปิดใช้ก่อน หรือที่เรียกว่าการ Validate ตั๋ว โดยสามารถขอเปิดใช้ได้ที่เจ้าหน้าที่แผนก international ticket ตามสถานีรถไฟได้ทุกแห่ง



โดยเจ้าหน้าที่เขาจะขอดูหนังสือเดินทางของผู้โดยสารทุกคนที่มีชื่ออยู่ในตั๋ว และจะประทับตราที่ช่องสี่เหลี่ยมด้านขวา รวมทั้งกรอกวัน เดือน ปีที่เปิดใช้ตั๋ววันแรกในช่องบนด้านซ้าย (ก็คือวันที่เราให้เขา validate นั่นแหละ) และวันสุดท้ายที่เราสามารถใช้ตั๋วได้ในช่องล่างด้ายซ้าย ซึ่งในกรณีของพวกเราสามารถใช้ตั๋วได้ภายในสองเดือน





ทีนี้เราก็สามารถใช้ตั๋วขึ้นรถไฟชั้นหนึ่งได้ไม่จำกัดรอบและขบวนของในแต่ละวันตามอายุตั๋วและจำนวนวันที่เราซื้อ เช่น ๕ วัน ๖ วัน หรือ ๑๕ วัน (โดยมีเงื่อนไขว่ารถไฟด่วนบางประเภท หรือรถไฟประเภท night train อาจจะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสำรองที่นั่งหรือตู้นอนเพิ่มเติมซึ่งไม่แพงเลย ตั้งแต่คนละ ๓.๕ ยูโร ถึง ๒๕ ยูโร ขึ้นอยู่กับประเภทของชั้นที่นั่งและประเภทของรถไฟ)

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญและผู้โดยสารที่ถือตั๋ว Eurail Pass จะลืมไม่ได้คือ การกรอกวันที่ที่เราจะใช้ตั๋วในช่องที่เขาแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซ้ายมือระบุวันและเดือนถัดลงมาข้างล่างจากช่องการเปิดใช้ตั๋วที่กรอกโดยเจ้าหน้าที่ ถ้าซื้อแบบ ๕ วัน ก็จะมีช่องให้กรอก ๕ ช่อง เป็นต้น รวมทั้งต้องระบุรายละเอียดของขบวนรถไฟที่เราจะโดยสารด้วย คือ วัน เวลา หมายเลขขบวนรถไฟ และจากเมืองไหนไปไหน ถ้าไม่เช่นนั้น ถ้าขึ้นรถไฟไปแล้ว และมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วและผู้โดยสารยังไม่กรอกข้อมูลที่ว่า ท่านอาจจะต้องเสียค่าปรับซึ่งจะแพงมาก ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ Eurail Pass และต้องการข้อมูลที่มีรายละอียดปลีกย่อยอีกมากมาย อาจศึกษาได้จากเว็บไซต์ที่ให้ไปหรือจะฝากคำถามไว้กับผู้เขียนได้ในช่อง comment ท้ายบทความนี้



และคราวนี้กลุ่มของเราก็พร้อมแล้วที่จะเดินทางต่อไปยังสวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้ตั๋ว Eurail Pass ในวันแรกคือวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๔ รถไฟขบวนแรกที่เราจะนั่งคือรถไฟ TGV ขบวนที่ ๙๕๗๑ จากปารีสถึงเมือง Strasbourg โดยจะออกจากปารีสเวลา ๐๗.๒๔ น.

แต่ก่อนที่เราจะออกจากปารีส คนอย่างเราๆ ก็แพ้ทางตู้ขายของอัตโนมัติส่งท้ายอีกจนได้ หวังว่าผู้อ่านคงจำได้ว่าในเรื่องเล่าตอนแรกๆ ที่ลอนดอน พวกเราเคยแพ้ทางตู้ขายซิมโทรศัพท์อัตโนมัติที่สนามบินฮีทโธรว์มาแล้ว ที่นี่ก็อีกแล้วที่พี่จุ๋มเขาจะซื้อน้ำเปล่าจากเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ ทีนี้พอหยอดเหรียญจำนวนตามราคาน้ำแล้ว ก็นึกว่าเหล็กที่กั้นมันจะเปิดและก็ปล่อยขวดน้ำให้กลิ้งตกลงมาข้างล่างตามช่องรับสินค้าเหมือนปกติทั่วไป ที่ไหนได้สงสัยผิดคิวหรือมันจะทำงานฝืด เหล็กนั่นมันเปิดแบบไม่สุด ทำให้ขวดน้ำค้างอยู่ตรงกลางช่องไม่ยอมตกลงมาที่ช่องรับสินค้า งานนี้พี่จุ๋มบ่นอุบเลย นอกจากจะหิวน้ำแล้วยังเสียเงินฟรีอีกด้วย แต่ยังไงก็ตามยังมีอีกคนที่เห็นคุณค่าของตู้ขายของอัตโนมัตินี้อยู่บ้างนั่นก็คือพี่อ้อยที่เห็นชอบวนเวียนซื้อกาแฟจากตู้ขายอัตโนมัติที่ hostel อยู่เรื่อยๆ แถมชมว่ากาแฟจากตู้อัตโนมัติรสชาติเยี่ยมไม่แพ้การชงของบาริสต้ามืออาชีพเลย :)


Photos credit to http://www.flickr.com/photos/geographyalltheway_photos/5201126792/sizes/m/in/photostream/

video credit to www.youtube.com by EurailGroup, EurailCom