พวกเราออกจากปารีสเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเช้าตรู่ของวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๔ โดยก่อนหน้าที่เราจะออกจาก Paris Clichy Youth Hostel บรรยากาศช่างเหมือนกับวันที่เรากำลังจะออกเดินทางจากลอนดอนคือมีฝนตกโปรยปรายลงมา ทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะเรียกรถแท๊กซี่จาก Youth Hostel เพื่อมารอขึ้นรถไฟที่สถานี Paris Est Train Station หรือที่รู้จักกันตามภาษาฝรั่งเศสคือ Gare de l'Est ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Gare du Nord ที่พวกเรามาถึงในวันแรกสักเท่าไหร่
ที่ปารีสมีสถานีรถไฟใหญ่อยู่ทั้งหมด ๖ สถานี คือ สถานี Gare du Nord หรือสถานีรถไฟสายเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเส้นทางเดินรถไปเมืองต่างๆ ทางเหนือของฝรั่งเศส และถ้าเป็นรถไฟข้ามประเทศก็จะเป็นการเดินรถระหว่างฝรั่งเศสกับประเทศสหราชอาณาจักร เบลเยี่ยม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
สถานี Gare de l'Est หรือสถานีรถไฟสายตะวันออก เป็นเส้นทางเดินรถไปเมืองต่างๆ ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส รวมไปถึงเป็นเส้นทางเดินรถระหว่างฝรั่งเศสและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก รวมทั้งเมืองทางตอนใต้ของเยอรมนี
สถานี Gare Montparnasse เป็นสถานีเดินรถไปเมืองต่างๆ ในทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เช่น Rennes (เมืองที่พวกเราแวะไปต่อรถโดยสารเพื่อไปเที่ยวมงต์แซ็งมิเชล)
สถานี Gare de Lyon หรือสถานีเดินรถไฟไปเมืองทางใต้ของฝรั่งเศส โดยชื่อ Lyon นั้นนำมาจากชื่อเมือง Lyon ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางค่อนไปทางตะวันออกของฝรั่งเศส เมืองนี้มีทิวทัศน์และภูมิสถาปัตย์ที่สวยงามมาก โดยเมือง Lyon อยู่ห่างจากเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง ๑๖๐ กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งมีระยะทางที่ใกล้กว่าระยะทางระหว่างปารีสและ Lyonที่มีระยะทางห่างกันถึง ๔๗๐ กิโลเมตร
สถานี Gare Saint-Lazare เป็นสถานีเดินรถไฟชานเมืองทางตะวันตกของปารีส และเป็นเส้นทางเดินรถไฟไปนอร์มังดีด้วย
สถานี Gare d'Austerlitz เป็นสถานีสำหรับการเดินรถไฟระหว่างปารีสและเมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) เมืองท่าสำคัญที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส และนอกจากนี้สถานีรถไฟแห่งนี้ยังเป็นสถานีต้นทางและปลายทางของรถไฟด่วนกลางคืนขบวน Elipsos Train Hotelที่ให้บริการเสมือนหนึ่งเป็นโรงแรม ที่วิ่งระหว่าง Gare d'Austerlitz และมาดริด และบาร์เซโลนา ของประเทศสเปน ดังนั้นผู้โดยสารที่จะเดินทางออกจากปารีสไปเมืองต่างๆ ด้วยรถไฟจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานีต้นทางคือที่ใดกันแน่ มิฉะนั้นจะเสียเวลาและที่แย่ไปกว่านั้นก็อาจจะพลาดขบวนรถไฟก็เป็นได้
โชเฟอร์แท๊กซี่ชาวปารีเซียงขับรถพาเราชมเมืองปารีสตอนเช้าตรู่อยู่นานพอสมควรจนมิเตอร์ขึ้นราคาจนพี่โชเฟอร์พอใจ (คิดว่าเราไม่รู้เหรอว่าขับอ้อมไปอ้อมมา) ก็มาส่งพวกเราที่หน้าประตูทางเข้าสถานี Gare de l'Est โดยสวัสดิภาพ สิ่งที่เราต้องทำก่อนสิ่งอื่นใดเมื่อเข้าไปถึงสถานีคือการตรวจสอบหมายเลขชานชาลาของขบวนรถไฟที่เราจะเดินทาง เพราะสถานีรถไฟตามเมืองใหญ่ๆ ของยุโรปกว้างขวางมาก บางที่ชานชาลาก็มีหลายชั้นดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ประมาทเราจะต้องตรวจสอบหมายเลขชานชาลาของขบวนรถที่เราจะโดยสารให้แน่นอน และเตรียมเผื่อเวลาในการเดินไปรอรถที่ชานชาลานั้นๆ โดยผู้โดยสารสามารถตรวจสอบได้จากป้ายบอกเวลาของขบวนรถไฟขาออก (Departure Board) หรือเจ้าหน้าที่ให้บริการผู้โดยสารที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์
Finally, my hometown and World's best city, Bangkok, is now submerged. I wanna give my fellow Bangkokians all the praise for their toleration of “P.M.”. The mentioned definitely does not refer to the Prime Minister at all, we have “so-called” that person, though. (*sigh*)
All the shame, guilt, and blame put down for "P.M or Poor Management".
Photos credit to http://atcloud.com/stories/39392 http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sitcom&month=27-10-2011&group=54&gblog=177 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000136941 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Bangkok_City_Montage.png by khemkhaeng via Montage from existing wikicommons files.
หลังจากออกจากชานชาลาของสถานี Paris Gare du Nord แล้ว ผู้เขียนปล่อยให้พี่ๆ สำรวจเส้นทางเพื่อจะหาทางไปสถานีรถไฟใต้ดินของปารีส หรือคนที่นี่เขาเรียกว่าเมโทร ในขณะที่ตัวผู้เขียนกับพี่โป่งต้องไปทำภารกิจสำคัญก่อนที่เราจะออกจากสถานี Gare du Nord แห่งนี้ นั่นก็คือการไปเปิดการใช้ตั๋วรถไฟระหว่างประเทศที่ชื่อ “ยูเรลซีเล็คพาส (Eurail Select Pass) หรือการ Validate ตั๋ว รวมไปถึงการจองที่นั่งรถไฟล่วงหน้าสายด่วนพิเศษทีจีวีของฝรั่งเศส (TGV: Train à Grande Vitesse) เส้นทางปารีส-ลูเซิร์น ที่เราจะต้องเดินทางในอีกสามสี่วันข้างหน้า เพราะถ้าเราไม่รีบจองที่นั่งรถไฟ TGV ล่วงหน้า เราอาจไม่ได้ที่นั่งในรถไฟเที่ยวนั้นๆ ได้ ถึงยังงั้นก็ตามเราก็พบกับสิ่งที่เรากังวลไว้ตั้งแต่ต้น นั่นก็คือรถไฟขบวนที่เราต้องการที่นั่งเต็มหมดแล้ว เราจึงต้องเปลี่ยนแผนที่ตั้งใจไว้โดยคนขายตั๋วแนะนำว่าเราต้องจองที่นั่งของรถไฟสายธรรมดา ซึ่งจะต้องแวะเปลี่ยนรถไฟประมาณสามถึงสี่สถานีกว่าจะเดินทางถึงลูเซิร์น ซึ่งเราไม่มีทางเลือกอื่นเราจึงทำตามคำแนะนำของคนขายตั๋ว สำหรับข้อมูลการซื้อและวิธีใช้ยูเรลพาสโดยละเอียด รวมทั้งความลำบากของพวกเราที่ต้องแบกสัมภาระโดดขึ้นลงรถไฟหลายรอบหลายขบวน จะได้นำมาเล่าในตอนต่อไป
เมื่อทำธุระเรื่องเปิดใช้ตั๋วและจองที่นั่งเรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลาที่ต้องเดินทางออกจากสถานี Gare du Nord เสียที แต่โชคไม่เข้าข้างเราเอาเสียเลยที่ขณะนั้นเป็นเวลาเลิกงานของชาวปารีเซียงพอดี ดังนั้นคงไม่น่าแปลกใจว่าตามสถานีเมโทรจะมีคนรอขึ้นรถไฟมากมายสักเพียงใด นอกจากนั้นในรถไฟแต่ละตู้ก็เต็มไปด้วยผู้คน จนไม่มีช่องว่างพอที่จะให้เราและสัมภาระใบโตๆ แทรกเข้าไปได้ พวกเราจึงต้องใช้เวลาอยู่ตามสถานีเมโทรแต่ละแห่งอยู่นานพอสมควรกว่าที่จะมีรถไฟที่พอจะมีที่ว่าง ให้เราแทรกตัวเข้าไปได้ผ่านมาสักขบวน
เราตั้งต้นจากสถานี Gare du Nord นั่งเมโทรสาย ๔ ไปหนึ่งสถานีเพื่อไปลงที่ Barbes Rochechouart จากนั้นต่อด้วยสาย ๒ นั่งไปอีก ๔ สถานีเพื่อลงที่ Place de Clichy แล้วจึงต่อด้วยสาย ๑๓ เพื่อไปลงที่ Mairie de Clichy อันเป็นสถานีจุดหมายของเรา
ออกจากสถานี Mairie de Clichy มาแล้วเราก็ต้องเดินตามหา Paris Clichy Hostel ตามแผนที่ที่พิมพ์มาจากเว็บไซท์ของ Hostel ยังดีที่ Hostel ที่ว่าหาได้ไม่ยากเพราะตั้งอยู่ริมถนน และก็เป็นตึกสูงหลายชั้นรวมทั้งมีป้ายสัญญลักษณ์ Hostelling International ติดตั้งที่ตัวตึกทำให้สังเกตได้ง่าย อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นเราก็ได้พบความมีน้ำใจของแม่บ้านชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ช่วยชี้ทิศทางที่จะมา Hostel ให้หลังจากที่เธอเห็นกลุ่มนักเดินทางหน้าตาเอเชียเหมือนเธอ หันรีหันขวางมองไปตามเส้นทางของถนนเพื่อหาอะไรบางอย่าง เราพูดคุยกับเธออยู่เป็นนานและขอบอกขอบใจที่เธอช่วยบอกเส้นทางให้ ก่อนจะเดินจากมา (ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเส้นทางที่เธอบอกนั้นมันผิดทิศ และเราก็เดินทางไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่เธอบอก)
video credit to: youtube by Busfotodotnl
Photos credit to: http://en.wikipedia.org/wiki/File:Carte_M%C3%A9tro_de_Paris.jpg, http://www.hihostels.com/dba/hostels-Paris---Clichy-020024.en.htm#
กลับมาเล่าเรื่องที่ยังคงค้างต่อดีกว่า การท่องเที่ยวในลอนดอนของพวกเราคงไม่แตกต่างจากนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป คือไปตามสถานที่สำคัญๆ ของลอนดอนไม่ว่าจะเป็นมหาวิหารเซนต์พอลหรือเซนต์ปอลที่มองเห็นได้ชัดเจนจากอีกฟากฝั่งของแม่น้ำเทมส์บริเวณสะพานมิลเลนเนียมซึ่่งใช้เฉพาะสำหรับคนเดินข้ามแม่น้ำเทมส์ หรือจะเป็นการไปเที่ยวทาวเวอร์ออฟลอนดอน หรือชื่อเต็มอย่างเป็นทางการคือ Her Majesty's Royal Palace and Fortress ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ ๑๐ ก็เก่าแก่ประมาณเกือบพันปี ดังนัั้นจึงมีเสียงเล่าลือถึงเรื่องลี้ลับเกี่ยวกับวิญญาณที่ยังคงสิงสถิตย์อยู่ ที่เด่นๆ เห็นจะเป็นวิญญาณของพระนางแอน โบลีน (Queen Anne Boleyn)ที่ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะเมื่อปี ค.ศ. ๑๕๓๖ ที่ Tower of London แห่งนี้ ด้วยข้อหาทรยศต่อพระสวามีของนางคือกษัตริย์เฮนรีที่แปด
โดยมีผู้อ้างว่าเห็นวิญญาณของพระนางเดินหิ้วศีรษะบริเวณ White Tower อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตามพระนางแอน โบลีน ได้ทิ้งมรดกตกทอดที่เป็นคุณูปการแก่สังคมอังกฤษในยุคศตวรรษที่สิบหกและก็อาจเป็นมรดกตกทอดที่มีคุณค่าให้แก่สังคมและคนอังกฤษในรุ่นปัจจุบันนั่นก็คือพระธิดาองค์เดียวของพระนางที่ชื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระราชินีเอลิซาเบธที่ ๑ (Queen Elizabeth I)แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ โดยตลอดรัชสมัยซึ่งเป็นเวลากว่าสี่สิบห้าปีของการครองราชสมบัติของพระองค์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดประกอบกับขุนนางและที่ปรึกษาที่แวดล้อมพระนางเป็นคนเก่ง จึงทำให้สังคมอังกฤษในยุคนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวรรณกรรม งานเขียนต่างๆ โดยกวีเอกเก่งๆ ในยุคของพระนางที่เรารู้จักกันดีคือวิลเลียม เชคสเปียร์ คริสโตเฟอร์ มาโลว์ เป็นต้น นอกจากนี้อังกฤษในยุคสมัยที่เรียกว่า Elizabethan era ก็ยังรุ่งเรืองในแง่ของการเมืองการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นเจ้าแห่งการเดินเรือ โดยมีนักเดินเรือที่สำคัญของยุคสมัยคือ Sir Francis Drake ที่ให้บังเอิญว่ากลุ่มของเราได้เดินไปพบเรือจำลองชื่อ Golden Hind ที่ตั้งแสดงอยู่แถวริมแม่น้ำเทมส์ของท่านเซอร์คนนี้แบบไม่ได้ตั้งใจเข้าพอดี(เพิ่งจะเห็นข้อดีของทัวร์แบบขาลากๆ นี้ก็เที่ยวนี้แหละ)
ถัดมาจาก Tower of London อีกนิด กลุ่มผู้เชี่ยวชาญการเดินทางแบบขาลากๆ เดินลัดเลาะมาสำรวจ Tower Bridge ที่เป็นสัญญลักษณ์เด่นอย่างหนึ่งเวลาพูดถึงลอนดอน เราขึ้นไปชั้นสูงสุดเพื่อดูนิทรรศการที่เขาจัดให้ดู Tower Bridge ในช่วงเวลาต่างๆ รวมทั้งการทำงานของสะพานเวลาที่ต้องเปิดให้เรือขนาดใหญ่แล่นผ่าน (ในบ้านเราคือสะพานพุทธยอดฟ้าก็ใช้กลไกเดียวกันที่สามารถยกพื้นถนนของสะพานเปิดให้เรือใหญ่แล่นผ่านได้ โดยอังกฤษเป็นผู้ออกแบบสะพาน ปัจจุบันสะพานพุทธของเราไม่เปิดให้เรือใหญ่ผ่านแล้ว ในขณะที่ Tower Bride เปิดให้เรือขนาดใหญ่แล่นผ่านตกปีหนึ่งมากกว่าพันครั้ง)คนส่วนใหญ่มักจะจำสับสนโดยจะเรียก Tower Bridge เป็น London Bridge ที่จริง London Bridge เป็นสะพานอีกหนึ่งแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Tower Bridge ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำธรรมดาทั่วไป
ใช้เวลาเดินท่องเที่ยวในลอนดอนกับเมืองใกล้เคียงจนสมใจแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะต้องบอกอำลาลอนดอนกับบ้านชั่วคราวของเราคือ YHA London Central ที่ Great Portland เสียที เพื่อจะเดินทางยังปารีสต่อไป
วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลาบ่ายแก่ๆ บรรยากาศดูซืมๆ นิดหนึ่งเพราะฝนตกลงมาปรอยๆ ทำให้พวกเราทั้งแปดคนต้องเปลี่ยนแผนที่จะนั่งรถไฟใต้ดินมาที่สถานี St Pancras เป็นนั่งรถแท๊กซี่แทน เรามาถึงสถานี St Pancras ก่อนเวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงเพราะถึงแม้ว่าเราจะเดินทางโดยรถไฟยูโรสตาร์แต่ก็เป็นการเดินทางข้ามประเทศ ดังนั้นเราจึงต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของฝรั่งเศสให้เสร็จสิ้นที่สถานี St Pancras แห่งนี้เลย และเมื่อเดินทางถึงปารีสเราก็ไม่ต้องผ่านการตรวจอะไรอีกแล้ว นอกจากนี้ขั้นตอนการตรวจสอบกระเป๋า การออก Boarding Pass ของยูโรสตาร์ เป็นแนวปฏิบัติเดียวกันกับการเดินทางโดยเครื่องบิน จึงเป็นสาเหตุให้เราต้องไปถึงสถานีรถไฟแต่เนิ่นๆ
หมายเหตุ ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการปกครองของสวิส: สวิสมีการแบ่งส่วนการปกครองระดับรองจากรัฐหรือ Federation ออกเป็น ๒๖ canton โดยหนึ่งในนั้นคือ เจนีวา Canton มีเมืองหลวงของ Canton ชื่อเดียวกันคือ เจนีวานั่นเอง
ถ้าพูดถึงเรื่อง "เดินแบบขาลาก" ของพวกเราแล้วละก็ คงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงเกือบเที่ยงของวันแรกที่เราไปถึงคือวันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๔ หลังจากเสร็จสิ้นการเช็คอินที่ YHA London Central โดยเราต้องฝากกระเป๋าที่ห้องเก็บสัมภาระเอาไว้ก่อนเพราะเวลาที่จะเข้าห้องได้คือบ่ายสองเป็นต้นไป รวมทั้งจัดการเจ้า "Panini" ให้เป็นอาหารกลางวันของพวกเราแบบง่ายๆ เราก็ไม่รีรอที่จะไปตลาด Portabello ถนน Portabello Road ย่าน Notting Hill
พอดีว่าวันที่เราไปคือวันเสาร์นั้นเป็นตลาดนัดใหญ่พอดี มีของขายทุกประเภทตั้งแต่ของกิน ของใช้ต่างๆ รวมไปถึงของเก่า และช่วงเวลาที่ไปมีทั้งคนอังกฤษเองและนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาคลาคล่ำไปหมด จนกลัวว่าคนในกลุ่มเราจะหลงกัน นอกจากการเที่ยวชมตลาดที่เหมือนตลาดจตุจักรบ้านเราแล้ว พวกพี่ๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฮิวจ์ แกรนน์ พระเอกหนังเรื่อง Notting Hill ก็ยังอุตส่าห์ได้ไปถ่ายรูปหน้าร้านหนังสือท่องเที่ยว ที่ตามท้องเรื่องเขาสมมติให้เป็นร้านหนังสือของ วิล แทกเกอร์ พระเอกของเรื่อง (อันที่จริงก็ไม่ใช่เฉพาะพี่ๆ เขาหรอก ผู้เขียนเองก็ชอบหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ชอบตรงประโยคเด็ดของวิล แทกเกอร์ ที่พูดกับแอนนา สก็อต ที่แสดงโดยจูเลีย โรเบิร์ตส์ โดยในหนังเธอรับบทตรงกับชีวิตจริงคือเป็นดาราสาวชื่อดังของฮอลลีวู้ดที่มาตกหลุมรักวิล แทกเกอร์ ที่ว่า "I live in Notting Hill. You live in Beverly Hills. Everyone in the world knows who you are; my mother has troubles remembering my name." คนเขียนบทสนทนาของตอนนี้นี่ช่างคิดดีจริงๆ เลยทำให้ประโยคข้างต้นเป็น movie quote ที่มีชื่อเสียงและคนมักจะจำได้ เดินเที่ยวชมตลาด Portabello และย้อนรำลึกถึงหนังเรื่อง Notting Hill บริเวณ Notting Hill เป็นที่พอใจแล้ว เราก็เดินกลับมาทางเดิมเพื่อที่จะลงรถไฟใต้ดินสถานีที่เรามาลงก่อนหน้าที่จะมาตลาด Portabello คือ สถานี Notting Hill Gate เพื่อจะต่อไปยังสถานี Tower Hill เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Tower Hill แล้ว ดูท่าทีพี่ๆ แต่ละคนก็ยังมีกำลังวังชาดีอยู่ นอกจากนี้ยังสนุกสนานกับการถ่ายรูปบริเวณสถานี Tower Hill เป็นอย่างยิ่ง เพราะฝั่งตรงกันข้ามของถนนเราจะมองเห็นความอลังการของ Tower of London ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเหมาะแก่การที่พี่ๆ ทั้งหลายจะชักภาพตัวเองโดยมี Tower of London เป็นฉากอยู่ด้านหลังเป็นอย่างยิ่ง (อ่ะนะ Tower ก็เก๊าเก่า สร้างมาเป็นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแล้ว คนรึก็...ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เหอะ เหอะ)
ถ่ายรูปกับอาคารเก่าๆ อันเหมาะสมกับช่วงวัยแล้ว backpackers กลุ่มนี้ก็ได้เวลาเดินไปสถานีรถไฟชานเมืองที่ชื่อว่า Docklands Light Railways หรือ DLR โดยสถานีที่เราไปขึ้นชื่อว่าสถานี Tower Gateway ซึ่งระยะทางเดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน Tower Hill ซึ่งเป้าหมายของเราคือ สถานี Cutty Sark for Maritime Greenwich ดูจากชื่อสถานีเป้าหมายของเราก็คงไม่ต้องสาธยายอะไร เพราะที่เที่ยวแห่งต่อไปของเราคือกรีนิชนั่นเอง ที่ำกรีนิชแห่งนี้ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของ Royal Observatory อันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นลองติจูดศูนย์องศาหรือ Prime Meridian ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นเส้นแบ่งเวลาของโลกชื่อ Greenwich Mean Time หรือ GMT ที่ในภาพมีคนไปยืนตรงเส้นแถบสีเงินเยอะๆ ยังมีพิพิธภัณ์อื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมไปถึงตลาดกรีนิชที่ขายของกินหลากหลายเชื้อชาติ ซึ่งก็รวมไปถึงอาหารไทยของเราด้วย หลังจากเดิน (ไม่ีรู้เดินไปกี่กิโลเมตรแล้วสำหรับวันแรก) ชมสถานที่ต่างๆ ของกรีนิชแล้ว เราก็เปลี่ยนบรรยากาศจากการนั่งรถไฟมานั่งเรือดูบ้าง โดยเรือโดยสารที่เราใช้บริการเป็นของ Thames Clipper ซึ่งเป็นเรือโดยสารสาธารณะเหมือนกับเรือด่วนเจ้าพระยาบ้านเรา แต่ราคาค่าโดยสารเขาคิดราคาเดียวกันหมดไม่ได้คิดเป็นระยะทางที่เรานั่ง สำหรับผู้ถือ Oyster Card ลดให้อีก ๕๐ เพนนี
ร้านอาหารอีกร้านที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ร้าน "Pret A Manger" ร้านนี้ออกแนวเป็นร้านขายอาหารจานด่วนที่คำนึงถึงสุขภาพลูกค้ามากกว่าร้านอาหารจานด่วนชื่อดังหลายๆ ร้าน ดังนั้นเมนูของร้าน Pret A Manger เลยมีทั้งสลัดหน้าตาหลากหลาย น้ำผลไม้นานาชนิด หรืออาหารแนว fusion ทั่วไป เลยทำให้พี่ๆ เขาติดใจมาฝากท้องที่ Pret A Manger อยู่หลายมื้อเหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องราคาผู้เขียนว่าก็ไม่เรียกว่าถูก แต่ก็ไม่แพงถ้าเทียบกับมาตรฐานการครองชีพในกรุงลอนดอน
(บรรยากาศในร้าน Pret A Manger สาขาหน้าสวนสาธารณะ Green Park กับลูกค้าผู้มีเกียรติชาวไทย)