วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

เปิดลิ้นชักความทรงจำที่แคนาดา ตอน 14: MACKPACKER (หลงในตอนจบ)

เป็นเวลาร่วมสองเดือนที่ไม่ได้มาอัพบล็อกเลย ไฟสำหรับการเขียนเล่าเรื่องเกือบจะจุดไม่ติดแ้ล้วเนี่ย ทั้งงานราษฎร์งานหลวงเต็มมือไปหมด แต่ก็เป็นงานที่ผู้เขียนเลือกแล้วและเป็นงานที่ชอบ จะพูดมากไปกระไรได้ เพิ่งมีโอกาสมาเปิดดูบล็อกตัวเองก็วันนี้หลังจากให้พี่ธเนศ วรากุลนุเคราะห์กับลุงคิดและชิดชัยในแดนศิวิไลซ์ช่วยเฝ้าบล็อกไปพลางก่อน เห็นมีคนเข้ามาเยี่ยมเยียนดูเหมือนกัน ขอบคุณผู้อ่านที่ยังคอยแวะเวียนมาดูข่าวคราวบล็อกนี้

หวังว่าช่วงนี้ผู้อ่านที่เป็นชาวกรุงเทพฯ คงจะไม่คร่ำเครียดมากไปกับกลุ่มตัวไรสีแดงๆ ที่เดินยั้วเยี้ยทำกิจกรรมสกปรกโสโครกอยู่แถวราชดำเนิน บางครั้งบางคราพอได้น้ำเลี้ยงจากไรแดงตัวพ่อก็ออกอาละวาดป่วนให้คนกรุงอย่างเราปวดหัวเล่นซะทีหนึ่ง ตอนนี้ก็ออกฤทธิ์ออกเดชที่ราชประสงค์ ร่ำๆ จะเอาระบอบอันธพาลแบบอนาธิปไตยมาปกครองบ้านนี้เมืองนี้ให้ได้ ใครเห็นด้วยกับไอ้พวกนี้ถ้าไม่บ้าก็คงเลวสุดขั้ว ชั่วสุดใจเหมือนไอ้มะเร็งตัวนั้นแน่ๆ อย่างเราๆ ก็เลยต้องอดทนกันให้ถึงที่สุด ถึงเวลาเหมาะเมื่อไรก็ให้ทั้งกฎแห่งกรรมและกฎหมายชำระสะสางกันไป

กลับมาเ่ล่าเรื่องที่แคนาดาต่อกันดีกว่า เมื่อตอนที่แล้วเ่ล่าค้างถึงสภาพบ้านเมืองของควิเบก และก็สถานที่เที่ยวของเมืองนี้ อันที่จริงผู้เขียนก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนได้อย่างใจคิด เพราะหิมะเป็นอุปสรรคอย่างที่พูดมาเมื่อตอนที่แล้ว หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมเยือนสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้สองสามแห่ง นอกนั้นผู้เขียนก็ได้แต่เดินเที่ยวเล่นดูกิจกรรมของคนเมืองนี้ไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเล่นสเก๊ตน้ำแข็งหรือว่าสกี รู้สึกตัวเองในขณะนั้นได้ว่าไม่ค่อยสนุกเหมือนกับที่มอนทรีอัลที่มีเพื่อนร่วมห้องเดินทางไปโน่นไปนี่ อาจจะเป็นเพราะที่นี่คนมาเที่ยวน้อย คนก็มาพักที่ hostel น้อยลงไปด้วย ทำให้จัดกิจกรรมกลุ่มไม่ได้เพราะไม่มีคนใช้บริการ ผู้เขียนเลยใช้เวลาที่เหลือนั่งเซ็งอยู่ที่ hostel ใช้เวลาดูหนัง ทำกับข้าวกินเองเพื่อใช้ของสดที่ซื้อมาให้หมดๆ ไป

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2543

หลังจากใช้เวลาเดินทางจากควิเบกซิตี้ประมาณสามชั่วโมงเศษ ผู้เขียนก็เดินทางกลับมาที่มอนทรีอัลอีกครั้งหนึ่งเมื่อประมาณบ่ายโมงเศษ เพื่อจะมารอนั่งรถต่อไปบอสตันช่วงสี่ทุ่ม ระหว่างนั้นก็ท่องเที่ยวไปตามสถานที่เดิมๆ ที่เคยเล่าเมื่อตอนเที่ยวที่มอนทรีอัลครั้งที่แล้ว แต่จะใช้เวลานานหน่อยที่ underground city และยิ่งเป็นประเภทร้านหนังสืออย่าง Chapters ที่เป็นร้านหนังสือประเภท chain ของแคนาดา ก็จะอยู่นานหน่อยเพราะเป็นคนชอบซื้อและอ่านหนังสืออยู่แล้ว



เวลาผ่านไปแป๊ปๆ ก็เกือบได้เวลาที่จะต้องไปรอรถแล้ว ช่วงนั้นได้รับแจ้งก่อนล่วงหน้าว่าควรไปรอรถแต่เนิ่นๆ เพราะว่าเป็นวันศุกร์และใกล้กับเทศกาลคริสต์มาส ดังนั้นคนเดินทางจึงเยอะมาก



มองไปรอบตัว เห็นคนเดินทางมากันเป็นกลุ่มบ้าง บางทีก็มาเป็นคู่ หรือบางทีก็มีคนในครอบครัวมาส่งร่ำลากันขึ้นรถ ดูวุ่นวายเต็มสถานีรถโดยสาร หันมาดูตัวเองไม่มีใคร นั่งหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ แว๊บหนึ่งที่เข้ามาในความรู้สึกคือความเหงา แล้วก็ตั้งคำถามในใจว่าเรามาทำอะไรที่นี่ หันไปมองรอบตัวอีกที ก็เห็นอะไรบางอย่าง "อืม open กันดีจริงๆ" ผู้เขียนนึกในใจ สักพักก็ตัดสินใจเดินไปที่โทรศัพท์สาธารณะ




เสียบบัตรโทรศัพท์ กด 661 แล้วตามด้วยเลขหมาย สักพักก็มีเสียงตอบรับ คุยกับคนทางปลายสายได้สักพักใหญ่ ก็ได้เวลาที่จะต้องขึ้นรถแล้ว จึงจบบทสนทนาเพียงเท่านั้น

รถโดยสารแล่นออกมาจากสถานีเมืองมอนทรีอัลได้พักใหญ่ๆ แล้ว แต่ในความคิดของผู้เขียนก็ยังนึกถึงแต่บทสนทนาในโทรศัพท์ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นความรู้สึกแบบก้ำกึ่ง จะว่าโล่งใจก็ใช่ที่ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดอีกต่อไป จะว่าเสียดายก็ใช่อีก ผู้เขียนรู้ดีว่าคนขับรถโดยสารคันนี้รู้จุดหมายปลายทางของตัวเองดีว่า เขามีหน้าที่พาผู้โดยสารไปเมืองบอสตัน เพราะฉะนั้นเขาไม่มีวันขับรถหลงทางไปไหน แต่ตัวผู้เขียนเองต่างหากที่กำลังหลงทาง "หลงอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง" อยู่ในขณะนั้น




Photos credit to: http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/01/Chapters_bookstore_and_Starbucks_café,_downtown_Montréal_2006-01-27.JPG
http://www.barraclou.com/stations/quebec/montreal_terminus4.jpg
http://sophiebury.ca/ocanada/wp-content/uploads/2009/12/canadian-payphone.jpg

video credit to youtube by zoyeczka69

ไม่มีความคิดเห็น: