วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าเก็บตกจาก MACKPACKER

เมื่อตอนที่แล้วตั้งใจว่าจะให้เป็นบทส่งท้ายของการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวแบบ backpack ของผู้เขียนในหลายๆ เมืองของแคนาดาและอเมริกา ในช่วงปิดภาคเรียนในเทศกาลคริสต์มาส แต่ก็ยังมีเรื่องเล่าเล็กน้อยที่ยังคงค้างอยู่ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่เล่าเรื่องต่อในช่วงที่ท่องเที่ยวที่บอสตันและดีซีในอเมริกา ก็อยากจะบอกในที่นี้ว่าผู้เขียนเห็นว่ามีคนไทยจำนวนมากคุ้นเคยกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของอเมริกาอยู่แล้ว ดีไม่ดีผู้อ่านหลายท่านอาจจะเคยไปเที่ยวกันจนหลับตาเดินกันได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสมิธโซเนียน ทำเนียบขาว หรือที่ทำการรัฐบาลหลายๆ แห่ง หรือไม่ว่าจะเป็น Harvard U. มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ผู้เขียนเลยไม่ขอเล่าดีกว่า จะกลายเป็นว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนกันซะเปล่าๆ ประกอบกับชื่อหัวเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องเล่าในแคนาดา เดี๋ยวจะไม่เข้า concept ชื่อเรื่อง แต่ที่อยากจะนำมาเล่าเป็นเรื่องเก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้เขียนที่มีต่อสถานที่หรือผู้คนในบอสตันและดีซี

ผู้เขียนไปถึงบอสตันในตอนเช้าตรู่ของวันที่ยี่สิบสามธันวาคมและอยู่ในเมืองนี้จนถึงวันที่ยี่สิบหก เมื่อแรกไปถึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของอเมริกา เพราะบรรยากาศเงียบมาก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสดังนั้นร้านรวงต่างๆ จึงปิดทำการ แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวในบางแห่ง แต่ยังไงก็ตามผู้เขียนก็ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่หนึ่งสมความตั้งใจของคนไทยที่รักในหลวงอย่างผู้เขียนนั่นก็คือ โรงพยาบาล Mount Auburn อันเป็นสถานที่พระราชสมภพของในหลวง ที่ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์อันเป็นส่วนหนึ่งของ Greater Boston Area เพียงแต่ข้ามแม่น้ำ Charles จากบอสตันมาก็จะมาถึงยังเมือง Cambridge เมืองอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกสองแห่งคือ Harvard และ MIT

ผู้เขียนประทับใจความมีน้ำจิตน้ำใจของชาวอเมริกันที่เมืองบอสตันค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มและความเอื้อเฟื้อที่ช่วยเหลือในการบอกเส้นทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้กับผู้เขียน หรือการแสดงการเป็นเจ้าภาพที่ดีเมื่อยามผู้เขียนเข้าไปสังเกตการณ์การทำพิธีของชาวคริสต์ในค่ำคืนวันที่ยี่สิบสี่ธันวาคมในโบสถ์ใหญ่ประจำเมืองบอสตัน ผู้เขียนยอมรับว่ามีความรู้สึกดีกับคนอเมริกันที่บอสตันเกินกว่าที่คาดหวังไว้

ผู้เขียนออกจากบอสตันในวันที่ยี่สิบหกธันวาคมในเวลาสี่ทุ่มเพื่อเดินทางต่อไปยังวอชิงตันดีซี โดยมาแวะัพักเพื่อเปลี่ยนรถที่นิวยอร์กซิตี้ช่วงประมาณตีสอง ต่อจากนั้นช่วงเวลาตีสามเศษก็ไ้ด้เวลาเดินทางต่อไปยังวอชิงตันดีซี ในขณะที่รถแล่นมาถึงสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำฮัดสัน(จำชื่อสะพานไม่ได้เพราะที่นี่มีสะพานเยอะมาก)เพื่อข้ามไปยังฝั่งนิวเจอร์ซีย์ ผู้เขียนมองออกไปนอกหน้าต่างรถมองไปยังฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ก็ยังคงเห็นแสงไฟตามตึกราม อาคารสูงระฟ้าที่ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วมหานครใหญ่ที่ไม่มีวันหลับแห่งนี้ ก็ให้รู้สึกว่าตัวเองช่างเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้จะเป็นคนมาจากกรุงเทพมหานครของบ้านเราก็เถอะ ทำให้นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งของทอม ครูส สมัยยังหนุ่มๆ เรื่อง Cocktail ที่ครูสรับบทเป็นเด็กหนุ่มมาจากเมืองชนบทเล็กๆ ต้องการมาตามหาฝันของตนเองในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก เมื่อแรกมาถึงและเห็นสภาพความเจริญของมหานครนี้ทำให้เด็กหนุ่มจากเมืองชนบทอย่างครูสรู้สึกตื่นเต้น ก็คงคล้ายๆ กับความรู้สึกของผู้เขียนในช่วงเวลานี้



ทั้งๆ ที่ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เขียนมานิวยอร์กซิตี้ จะว่าไปแล้วผู้เขียนมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็จะรู้สึกแบบนี้ทุกที อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้กิตติศัพท์ของเมืองนี้ในแง่ลบ ทำให้ผู้เขียนต้องระมัดระวังตัวอย่างมากเวลาจะท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ในเมืองนี้ ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาจะไปไหนต่อไหน ยังไงก็ตามผู้เขียนก็ยังรู้สึกว่านิวยอร์กซิตี้ก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเองในบางสิ่งบางอย่าง ไม่เช่นนั้นจะดึงดูดให้ผู้เขียนมาได้บ่อยๆ ได้อย่างไรกัน

ผู้เขียนมาถึงเมืองหลวงของอเมริกาในเช้าวันที่ยี่สิบเจ็ด บรรยากาศช่วงเช้าในเมืองหลวงไม่ค่อยวุ่นวายเมื่อเทียบกับนิวยอร์กซิตี้ ที่สำคัญผู้เขียนชอบความสะอาดสะอ้านและทันสมัยของรถไฟใต้ดินที่ดีซีจริงๆ ถ้าจะว่าไปในบรรดาความเก่าแก่และไม่ค่อยสะอาดของรถไฟใต้ดิน ที่บอสตันน่าจะได้รับรางวัลที่หนึ่งแต่ก็เป็นเพราะว่ารถไฟใต้ดินที่บอสตันมีอายุอานามยาวนานมากแล้ว และก็เป็นรถไฟใต้ดินสายแรกที่สร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกาจะไม่ให้เก่าบุโรทั่งยังไงไหว แต่ถ้าพูดถึงรถไฟใต้ดินที่มีเส้นทางการเดินรถที่ซับซ้อนชวนให้น่าสับสนที่สุด นิวยอร์กซิตี้ก็สมควรได้รับรางวัลนี้ไป เพราะมีทั้งสาย express ไม่ express มีสามรางสี่รางแล่นขนานกันไป ทำเอาผู้เขียนที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งในการใช้รถไฟใต้ดินถึงกับงงงวยไปพักใหญ่เมื่อไปถึงนิวยอร์กซิตี้เป็นครั้งแรก

DC Green Line Metro



ผู้เขียนใช้เวลาท่องเที่ยวไปตามสถานที่ทำการของรัฐบาลอยู่สองสามวัน ก็ได้คำตอบสำหรับตนเองว่า วอชิงตันดีซีมีบางสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจ สิ่งแรกคือความมีน้ำใจของเจ้าของร้านอาหารไทยที่ผู้เขียนไปฝากท้องไว้หลายมื้อ หลังจากที่การเดินทางก่อนหน้านี้ในหลายๆ วันพึ่งพาอาศัยแต่ McDonald's ถึงแม้จะมีชื่อพยางค์แรกชื่อเดียวกันกับร้านฟาสท์ฟู้ดที่ว่า แต่ก็ไม่ได้พิสมัยการกินอาหารแบบนั้นนัก พอหลังๆ มาชักจะไม่ไหวยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อขอกินอาหารบ้านเราบ้างดีกว่า ยังไงก็ใกล้จะกลับแคนาดาแล้ว ร้านอาหารไทยที่พูดถึงมีชื่อร้านว่า "HADD THAI Restaurant" มีเว็บไซท์ด้วยตามข้างล่าง

http://www.haadthairestaurant.com

ร้านนี้ตั้งอยู่เลขที่ 1100 New York Ave., NW ตามแผนที่ข้างล่าง



ผู้เขียนประทับใจการบริการและความมีน้ำใจของเจ้าของร้าน เท่าที่ดูและก็คิดเดาเอาเองคิดว่าร้านนี้น่าจะเป็นร้านที่ร่วมหุ้นกันระหว่างเพื่อนฝูง ดูอายุอานามเจ้าของร้านแต่ละคนไม่น่ามากน่าจะอยู่ระหว่างช่วงยี่สิบปลายๆ ถึงสามสิบปลายๆ ด้วยความที่ผู้เขียนเคยไปใช้บริการร้านอาหารไทยในเมืองนอกเมืองนาแล้วหลายครั้ง ยอมรับว่าบางครั้งเคยพบกับความไม่ยินดียินร้ายที่จะให้บริการคนไทยด้วยกันจากร้านอาหารบางร้าน พอมาเจอการบริการแบบประทับใจของร้าน HADD THAI เข้าก็เลยอดที่จะนำมาพูดไม่ได้ ร้านนี้ตกแต่งค่อนข้างทันสมัย มีแขกมาใช้บริการค่อนข้างเยอะ เพราะแถบใกล้เคียงเป็นอาคารสำนักงานจำนวนมาก จำได้ว่าก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะเดินทางไปสถานีรถโดยสารเพื่อกลับแคนาดาก็แวะไปกินอาหารร้านนี้อีก พอจะเรียกเก็บเงินเจ้าของร้านให้พนักงานเดินถือถ้วยไอศครีมมาให้ ผู้เขียนก็เลยทำหน้างง แล้วบอกว่าไม่ได้สั่ง เจ้าของร้านก็เดินมาบอกว่าไม่ได้สั่งแต่แถมให้พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่น่าประทับใจมาให้ เลยทำให้ผู้เขียนรู้สึกดีดีกับความมีน้ำใจของเจ้าของร้านนี้

หลังจากนั้นผู้เขียนเดินทางมาถึงสถานีรถโดยสารเมื่อประมาณสี่โมงเย็นเศษๆ เพราะมีกำหนดการเดินทางออกจากดีซีประมาณหกโมงเย็นเพื่อจะไปเมืองบัฟฟาโลที่เป็นเมืองชายแดนติดกับแคนาดา แต่พระเจ้าช่วยกล้วยทอดหลังจากที่ฝ่าพายุหิมะจาก downtown DC เพื่อจะมาสถานีรถโดยสารด้วยความยากลำบาก เพียงเพื่อจะมาพบว่าเขาประกาศหยุดการเดินรถทุกเส้นทาง เนื่องจากมีหิมะตกหนักปกคลุมเส้นทางถนนสายหลักไปทุกสาย ทำให้รถไม่สามารถแล่นฝ่าไปได้ ช่วงนั้นผู้เขียนรู้สึกว่าละล้าละลังพอสมควรไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ เคยดูแต่ภาพข่าวต่างประเทศในบ้านเราที่ออกข่าวว่ามีพายุหิมะตกที่นั่นที่นี่ ทำให้เส้นทางถนนถูกตัดขาด ไม่เคยคาดคิดว่าจะมาเจอกับตัวเองเข้าจังๆ ภาพความโกลาหลในสถานีรถโดยสารของผู้โดยสารที่ตกค้างดูเหมือนจะเพิ่มความวิตกให้ผู้เขียน และยิ่งเมื่อเอากระเป๋าตังค์ขึ้นมานับดูเงินสดที่เหลือก็ยิ่งกังวลเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะในกระเป๋าเงินเหลือเงินสดไม่พอจ่ายค่าเช่าที่พักที่ hostel อีกหนึ่งคืนหากมีความจำเป็นจะต้องกลับไปพักค้่างที่นั่นอีก ที่เหลือก็มีแต่บัตรเอทีเอ็ม/เดบิตของธนาคาร Scotia Bank ของแคนาดา ซึ่งคงไม่มีตู้ atm ที่นี่เป็นแน่ แล้วก็บัตรเครดิตอีกสองใบซึ่งถึงยังไงๆ ก็ไม่อุ่นใจเท่ากับการมีเงินสดในกระเป๋าไว้บ้าง

หลังจากเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง และตัวผู้เขียนเองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอะไรต่อไปดี ทันใดนั้นเองก็มีเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารที่จะเดินทางไปเมืองบัฟฟาโล โดยจะมีรถโดยสารออกจากสถานีเพื่อเดินทางไปเมืองบัฟฟาโลแต่การเดินรถจะต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางสายรองๆ ลงไป เพราะถนนสายหลักยังคงใช้การไม่ได้ พอได้ฟังประกาศดังนันผู้เขียนรีบขึ้นรถทันทีกลัวเขาเปลี่ยนใจ สรุปว่าบนรถคันนั้นมีผู้โดยสารอยู่ประมาณสามสี่คนรวมทั้งตัวผู้เขียนเองด้วย ซึ่งหลังจากนั้นเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร หยุดรถเป็นพักๆ ตามเมืองต่างๆ เพื่อคอยให้เขาเกลี่ยหิมะออกจากถนน เป็นอันว่าผู้เขียนมาถึงเมืองบัฟฟาโลด้วยความสวัสดิภาพในช่วงใกล้เที่ยงของอีกวัน ซึ่งช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง แต่ก็คิดว่าเอาเหอะให้มาถึงก็พอแล้ว พอมองออกไปนอกสถานีรถโดยสารเห็นรถ greyhound canada เส้นทาง บัฟฟาโล-โตรอนโต มาจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ภายนอก ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความกังวลลงไปมาก และก็คิดว่าการผจญภัยในการเดินทางคนเดียวครั้งนี้กำลังจะจบลงแล้วด้วยความสวัสดิภาพ

Video credit to youtube by arab30002, supersonic 3783

ไม่มีความคิดเห็น: