วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

Let the journey begin

วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ณ บ้านหลังหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

"ให้พ่อไปส่งไหมลูก"

"ไม่เอาอ่ะแม่ เพราะมันผิดหลักการ backpack อ่ะจ๊ะ"

"แล้วจะไปยังไงล่ะ" "ก็เดี๋ยวนั่งรถไฟฟ้าตรงสถานีวงเวียนใหญ่ ไปลงพญาไท แล้วต่อแอร์พอร์ตลิงก์ไปจ๊ะ ถึงสนามบินที่ชั้นใต้ดินเลย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

ข้างบนนั้นเป็นบทสนทนาระหว่างผู้เขียนกับแม่ก่อนที่จะเดินทางออกจากบ้านไปสนามบิน ด้วยความที่แม่เป็นห่วงเห็นขนาดกระเป๋าเดินทางแล้วคิดว่าคงจะไปไม่รอด เลยเสนอจะให้พ่อไปส่ง แต่ด้วยความที่อยากจะให้การเดินทางครั้งนี้เป็นแบบ backpack จริงๆ ผู้เขียนก็เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิจนได้ด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อย

มาถึงจุดนัดหมายกับพวกพี่ๆ แล้ว ก็ปรากฏว่าตัวเองนั้นมาเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ เขาเช็คอินไปหมดเรียบร้อยแล้ว เลยรีบจัดแจงเช็คอินผลปรากฏว่ากระเป๋าเดินทางนั้นหนักไม่ใช่เล่น ตั้งสิบแปดกว่ากิโล ที่จริงเสื้อผ้าหรือของอะไรที่จำเป็นก็ไม่ได้มีมากเท่าไหร่ แต่ที่หนักมากๆ คือหนังสือนำเที่ยวของแต่ละประเทศจำนวนหกเล่มของ lonelyPlanet นั้นหนักเอาการอยู่

เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของสายการบินเจ็ทแอร์เวย์นำพวกเราพร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆ ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในเวลาเกือบสามทุ่มโดยมีจุดหมายที่สนามบินมุมไบ ประเทศอินเดีย ใช้เวลาบินประมาณสี่ชั่วโมงพวกเราก็มาถึงมุมไบเมื่อเวลาห้าทุ่มสี่สิบตามเวลาที่มุมไบเพื่อรอเปลี่ยนเครื่องไปฮีทโธรว์









ระยะเวลาของการรอเปลี่ยนเครื่องมีไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่โอ้เอ้ พอลงจากเครื่องได้ก็เดินไปตามสัญญลักษณ์บอกทางสำหรับผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องทันที ลำพังระยะทางระหว่างประตูที่เครื่องลงจอดกับประตูที่จะไปขึ้นเครื่องไม่ไกลกันมากนัก แต่ระยะเวลาที่หมดไปกับขั้นตอนต่างๆ ก่อนการขึ้นเครื่องดูช่างมากมายเสียเหลือเกิน ผู้เขียนต้องขอวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่าไม่เคยเห็นระบบการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่องหรือ security check แบบที่กำลังพบที่สนามบินมุมไบมาก่อน

เริ่มต้นจาก ตำแหน่งของสายพานเครื่องตรวจสอบกระเป๋ากับจุดของเครื่องตรวจโลหะที่ผู้โดยสารต้องเดินผ่านอยู่กันคนละจุด ซึ่งอยู่ไกลกันจนผู้โดยสารที่นำกระเป๋าถือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค เสื้อโค้ท กระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยที่ใส่เอกสารและของมีค่า แม้กระทั่งรองเท้าที่ต้องนำใส่ตะกร้าเพื่อผ่านเครื่องตรวจบนสายพานไม่สามารถจับตามองข้าวของของตนเองได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ที่นี่เขาแยกการตรวจร่างกายหญิงชายด้วย หลังจากเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะแล้ว แม้ว่าตัวเครื่องจะไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แต่เราก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดอีกที แล้วป่านนี้แล้วข้าวของของเราที่อยู่บนสายพานจะเป็นไงบ้างเราก็ไม่อาจรู้ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับสนามบินที่อื่นที่เราสามารถจับตาดูกระเป๋าและข้าวของของเราได้เพราะจุดตรวจค้นร่างกายกับสายพานตรวจกระเป๋าอยู่ติดกันเลย ผู้เขียนยอมรับเป็นห่วงข้าวของกลัวจะสูญหายเนื่องจากอาจมีคนหยิบผิดหรือตั้งใจหยิบไปก็ได้ เลยทำให้ผู้เขียนค่อนข้างจะหงุดหงิดอยู่บ้าง




เสร็จสิ้นจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว ก็รีบไปตรวจสอบข้าวของของตัวเองว่ายังอยู่ครบไหม ก็ปรากฏว่ายังอยู่ครบดี แต่ที่มีเกินขึ้นมาคือป้ายติดกระเป๋าและข้าวของทุกชนิดที่ผ่านการตรวจจากเครื่องเอกซเรย์ผ่านสายพานแล้ว ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ว่ากระเป๋าหรือข้าวของชิ้นนั้นได้ผ่านการตรวจแล้ว ผู้เขียนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับป้่ายติดกระเป๋านั้น เพียงแต่คิดว่ามันแปลกจากสนามบินอื่นเท่านั้น ระหว่างรอให้สมาชิกทุกคนผ่านการตรวจและเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อนที่จะเิดินไปประตูขึ้นเครื่องด้วยกัน ผู้เขียนก็ได้ยินเสียงพี่จุ๋มร้องหากระเป๋าที่ขาดหายไปหนึ่งใบซึ่งดูในสายพานแล้วไม่มี สักประเดี๋ยวพี่จุ๋มก็เหลือบไปเห็นว่ากระเป๋าของแกถูกนำไปซุกอยู่ข้างๆ สายพาน พี่จุ๋มก็เลยบอกเจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่นั่งประจำอยู่หน้าเครื่องเอกซเรย์คนหนึ่งว่ากระเป๋าใบนั้นน่ะพี่จุ๋มเป็นเจ้าของและจะขอรับกระเป๋าใบนั้นคืน เจ้าหน้าที่คนนั้นเลยหันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่หน้าจอ ที่คอยตรวจสอบว่ากระเป๋าแต่ละใบบรรจุอะไรมาบ้าง เจ้าหน้าที่ที่คอยมอนิเตอร์หน้าจอหันมาคุยกับพี่จุ๋มโดยตรงว่าในกระเป๋าใบนั้นมีไฟแช็ค

พอได้ยินเท่านั้นพี่จุ๋มแกก็งงเป็นไก่ตาแตก เพราะแกไม่ได้พกไฟแช็คมาสักหน่อย แกก็เลยบอกเจ้าหน้าที่คนนั้นไปว่าไม่ใช่ละมั้ง ถึงตอนนี้ก็เลยต้องมาค้นกระเป๋าใบนั้นกันใหญ่ แล้วก็มาถึงบางอ้อว่าเจ้าวัตถุรูปทรงที่เป็นที่น่าสงสัยคือลิปสติกแท่งนั่นเอง ก็เลยเคลียร์กันไปได้ พอเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้พวกเราก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปที่ประตูขึ้นเครื่องทันทีโดยมีพี่โป่งกับผู้เขียนนำหน้าไป พอเดินใกล้ถึงจุดที่จะเข้าประตูเราถึงได้รู้ว่า ไอ้เจ้าป้ายติดกระเป๋านั้นสำคัญเป็นนักหนา เพราะมีเจ้าหน้าที่มายืนตรวจดูอย่างเข้มงวด หากมีกระเป๋าหรือสิ่งของที่จะนำขึ้นเครื่องไม่มีป้ายรับรองว่าผ่านการตรวจสอบจะต้องกลับไปเริ่มขั้นตอนนั้นใหม่ ปรากฏว่ามีกระเป๋าของพี่วัฒน์กับพี่รินหลุดรอดการตรวจและก็ไม่มีป้ายติดกระเป๋าที่ว่า พี่สองคนนั้นเลยต้องวิ่งกลับไปจุดตรวจนั้นใหม่เพื่อให้เจ้าหน้าที่เขาตรวจกระเป๋า เฮ้อ เหนื่อย


ผ่านขั้นตอนที่ว่าแล้วก็อย่าคิดว่าจะได้เดินผ่านเพื่อขึ้นเครื่องได้อย่างสง่าผ่าเผยนะ ยัง ข้างหน้ายังมีอีก กางโต๊ะรอกันอย่างเป็นงานเป็นการเลย จะอะไรเสียอีก แหมก็แค่ขอตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่าและก็ถามข้อมูลแค่ยี่สิบคำถามเอง นี่พูดจริงเลยไม่ได้พูดเล่น พี่แขกสองคนนำหนังสือเดินทางของเราไปพินิจพิเคราะห์ลายน้ำของสติกเกอร์วีซ่าอังกฤษในหนังสือเดินทางของเรา พร้อมทั้งมองหน้าเรากับรูปที่ติดอยู่ในหนังสือเดินทางว่าเหมือนกันหรือเปล่า ยังไม่พอใจขอซักถามเสียยี่สิบคำถามก่อนว่าไปอังกฤษทำไม ไปกี่วัน ไปกับใคร พักที่ไหน โอ้ยสารพัด จนผู้เขียนคิดว่าตัวเองเดินทางมาถึงฮีทโธรว์แล้วและกำลังตอบคำถามเจ้าหน้าที่ ตม. ของอังกฤษเสียอีก จบขั้นตอนที่ว่าแล้ว ทีนี้แหละก็ไม่มีใครมาขวางทางการท่องโลกกว้างของเราแล้ว เย้ ลอนดอนรอเราอยู่ข้างหน้าแล้วพี่น้อง ทุกคนตามข้าพเจ้ามา

ในที่สุดสายการบินเจ็ทแอร์เวย์โดยเครื่องโบอิ้ง 777-300 ก็พาเราออกจากมุมไบมุ่งหน้าไปลอนดอนเมื่อเวลาประมาณตีหนึ่งเศษๆ ของวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๔ หลังจากนั่งหลับบ้างดูหนังเล่นเกมบ้างอยู่เป็นเวลาเก้าชั่วโมงเศษสำหรับระยะทาง ๗๐๒๕ กิโลเมตร ในที่สุดเจ้าหน้าที่สายการบินก็ประกาศให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดเพราะจะลดระดับการบินเพื่อนำเครื่องลงจอดที่ฮีทโธรว์ นักบินนำเครื่องลดระดับลงมาเรื่อยๆ เราเริ่มเห็นทิวทัศน์ของกรุงลอนดอนชัดขึ้นเรื่อยๆ และแล้วเครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินฮีทโธรว์เมื่อเวลาประมาณหกโมงเช้าเศษๆ ตามเวลาท้องถิ่นที่อังกฤษ การผจญภัยของ backpackers ในทวีปยุโรปหกประเทศจำนวนยี่สิบสองวัน กำลังจะเริ่มต้นวันแรกนี้แล้ว....


Photos credit to: http://www.topnews.in/jet-airways-air-india-lost-rs-127-crore-owing-strikes-praful-patel-2267848 http://www.mumbai.me/Bangkok/Mumbai-Bangkok-flights.php http://www.adamwilson.info/cartoons/Please_have_your_boarding_pass_and_pants_ready/

2 ความคิดเห็น:

sugarcane กล่าวว่า...

ชอบรูป security check อ่ะ เห็นภาพเลย

mac กล่าวว่า...

นึกว่าใคร พี่ sugarcane คนที่ทิ้งรองเท้าคู่ทุกข์ คู่ยากนี่เอง อิอิ