วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

เลอ มง แซ็ง มิแชล (Le Mont Saint Michel) มนต์ของเก่าที่เรียกเราไปเยือน

กว่าที่กำหนดการท่องเที่ยวครั้งนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ผู้เขียนต้องอาศัยข้อมูลการท่องเที่ยวจากหลายแหล่งทั้งของไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดสนทนาใน blueplanet ของพันธ์ทิพย์ seat61 หรือเว็บไซท์ทางการของแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ

สำหรับการจัดกำหนดการท่องเที่ยวในฝรั่งเศส ตอนแรกๆ ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะออกไปโลดโผนโจนทะยานนอกเมืองปารีสแต่อย่างใด แต่ให้บังเอิญว่าได้ไปอ่านกระทู้หนึ่งในบอร์ดสนทนา blueplanet ซึ่งเจ้าของกระทู้ได้ขอคำแนะนำจากผู้รู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของฝรั่งเศส มีผู้ตอบท่านหนึ่งให้คำแนะนำเจ้าของกระทู้ว่าหากมีเวลาออกไปเที่ยวนอกปารีส ขอให้ลองไปเที่ยว "มง แซ็ง มิแชล หรือภาษาฝรั่งเศสเขาเรียก Le Mont Saint Michel” รวมทั้งมีภาพประกอบให้ดูด้วย ยังไงก็ตามผู้แนะนำท่านนั้นไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางจากปารีสไป มง แซ็ง มิแชล มากนักเพียงแต่บอกว่าการเดินทางไปเองไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่ แต่จะบอกว่ายากก็ไม่เชิง และระยะทางจากปารีสก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ยังไงก็ตามผู้เขียนขอบอกว่าเมื่อได้เห็นรูปประกอบของ มง แซ็ง มิแชล ที่ผู้แนะนำท่านนำมาโพสไว้ในกระทู้แล้ว ความคิดก็โลดแล่นขึ้นมาทันทีว่าเราจะต้องไปสถานที่แห่งนี้ให้ได้ ว่าแล้วก็ขอฉันทานุมัติกับบรรดาพี่ๆ ลูกทัวร์ทุกคนว่าผู้เขียนอยากไป มง แซ็ง มิแชล ทุกคนเห็นเป็นอย่างไร พี่เขาก็ดีจริงๆ เลย เห็นดีด้วยทุกอย่าง หลังจากได้ไฟเขียวแล้วก็เริ่มค้นหารายละเอียดความเป็นมาของ มง แซ็ง มิแชล รวมทั้งการเดินทางจากปารีสไปสถานทีแห่งนี้ทันที




มง แซ็ง มิแชล เป็นวิหารเก่าแก่ที่มีอายุนับพันปีของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ถ้าวัดจากยอดสูงสุดของวิหารจะมีความสูง ๑๗๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะที่มีน้ำทะเลล้อมรอบในแคว้นนอร์มังดี ตัววิหารสร้างด้วยหินแกรนิตที่แข็งแรงทำให้มีความทนทานสู้แดด ลม ฝน และการกัดกร่อนของน้ำทะเลจนอยู่มาได้เป็นพันปี แรกเริ่มเดิมทีวิหารแห่งนี้ไม่ได้เป็นวิหารสูงใหญ่โตเท่าที่เราเห็นในปัจจุบัน การก่อสร้างและต่อเติมรวมทั้งการบูรณะ มง แซ็ง มิแชล มีมาหลายยุคสมัยเริ่มตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ ๑๐ เป็นต้นมา วิหารมง แซ็ง มิแชล ได้ผ่านยุคสมัยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาอย่างยาวนาน บางยุคบางสมัยที่มีศึกสงครามผู้ครอบครองดินแดนแถบนี้ได้ใช้วิหาร มง แซ็ง มิแชล เป็นที่คุมขังนักโทษ ในขณะที่บางช่วงเวลา มง แซ็ง มิแชลถูกใช้เป็นสถานที่สงบจิตสงบใจของผู้แสวงบุญและนักบวชชาวคริสต์ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเสน่ห์และมนต์ขลังในแง่มุมที่แตกต่างหลากหลายในสายตาของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือน มง แซ็ง มิแชล ไม่ต่ำกว่าสามล้านคนเลยทีเดียว จะเป็นเพราะมนต์ของความเก่าหรือเรื่องราวน่าสนใจในอดีตที่มีอย่างยาวนานก็แล้วแต่ แต่ช่วงเวลา ณ ขณะนั้นจิตใจของผู้เขียนได้เดินทางไปถึง มง แซ็ง มิแชลเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพวิหารแห่งนี้


คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซท์ทางการของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ถ้าลองมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยอะๆ อย่างนี้เขาคงต้องมีข้อมูลการเดินทางให้เราสิ ผู้เขียนนึกในใจ และแล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อเว็บไซท์ทางการของ มง แซง มิแชล ตามลิงก์นี้
www. http://www.ot-montsaintmichel.com/en/accueil.htm
บอกข้อมูลการเดินทางไป มง แซง มิแชล ที่ค่อนข้างละเอียดไม่ว่าจะทางเรือ รถยนต์ เครื่องบิน หรือแม้กระทั่งรถไฟ สำหรับพวกเราแล้วเส้นทางที่สะดวกที่สุดคือการเดินทางโดยรถไฟ ผู้เขียนเลือกเอาวันที่ ๒ เมษายน เป็นวันเดินทาง (เป็นวันดีเสียด้วยเพราะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ที่พวกเราทราบดีว่าท่านทรงปราดเปรื่องวิชาหลากหลายแขนง รวมทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ด้วย)

โดยเราออกเดินทางจากปารีสที่สถานีรถไฟมองปานาส (Paris Montparnasse) เวลา ๐๗.๐๕ น. แล้วไปลงที่สถานีรถไฟเมืองเรนเนส (Rennes Gare) ในเวลา ๐๙.๑๐ น. ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยรถไฟ TGV เส้นทางแรกนี้คนละ ๔๔ ยูโร จากนั้นเราจะต้องนั่งรถโดยสารต่อไปอีกประมาณชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง มง แซ็ง มิแชล โดยเยื้องๆ กับสถานีรถไฟเมืองเรนเนสจะเป็นที่ตั้งของสถานีรถโดยสารของเมืองเรนเนสที่จะพาพวกเราไป มง แซ็ง มิแชล

ผู้เขียนทราบดีอยู่แล้วว่าระบบการเดินทางและการเชื่อมต่อขนส่งสาธารณะในยุโรปสะดวกและตรงเวลามาก ดังนั้นนักท่องเที่ยวจะมีความสะดวกสบายอย่างมากไม่ว่าจะนั่งรถไฟไปต่อรถโดยสาร หรือนั่งรถโดยสารไปต่อรถไฟ การจัดกำหนดการเดินรถของเขาจะส่งต่อเวลากันได้เป็นอย่างดี ในกรณีของเราก็เช่นเดียวกันเมื่อเราลงมาถึงสถานีรถไฟเรนเนสแล้ว เพียงแค่ข้ามถนนเส้นเล็กๆ ไปเท่านั้นเราก็ถึงสถานีรถโดยสารแล้ว (นี่ก็อีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมคนในยุโรปถึงชอบใช้ขนส่งสาธารณะก็เพราะมีความสะดวกอย่างนี้นี่เอง ทุกท่านลองไปสังเกตดูได้ว่าเมืองส่วนใหญ่ในยุโรปสถานีรถไฟและรถโดยสารจะอยู่ใกล้กันมาก บางแห่งอยู่ในอาคารเดียวกันด้วยซ้ำ)

เมื่อเราลงจากรถไฟเมื่อเวลา ๐๙.๑๐ น. แล้ว เรามีเวลาอีกประมาณ ๒๐ นาทีก่อนที่รถโดยสารเที่ยวแรกของวันจะออกจากสถานีรถโดยสารของเมืองเรนเนส เมื่อเราไปถึงช่องขายตั๋วเราเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายนั่งรอรถโดยสารอยู่แล้ว มองออกไปนอกอาคารสถานีรถโดยสารก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวอยู่จำนวนหนึ่งยืนตั้งแถวรอรถโดยสารที่จะพาเราไป มง แซ็ง มิแชล บริเวณชานชาลาที่สอง ไม่นานหลังจากที่เราซื้อตั๋วราคาคนละ ๑๑.๖๐ ยูโรเรียบร้อยแล้ว รถโดยสารก็มาเทียบชานชาลา ผู้เขียนเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากมายแล้วยังนึกว่าแค่รถคันเดียวนี้คงไม่พอละมัง แต่ก็ยังคงคิดในแง่ดีว่าเดี๋ยวเขาคงจะจัดรถอีกคันนึงเพราะทุกคนในที่นี้ซื้อตั๋วเที่ยวนี้กันหมดแล้วนี่ เขาจะขายตั๋วเกินจำนวนที่นั่งในรถได้ไง ผู้โดยสารเรียงแถวทยอยกันขึ้นรถไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงกลุ่มพวกเรา เราส่งตั๋วโดยสารให้คนขับตรวจสอบ หนึ่งคนผ่านไป สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด พอคนที่แปดคนสุดท้ายในกลุ่มเราผู้โชคดีได้แก่ พี่จุ๋ม คนขับรถนั่นส่ายหน้าไม่ยอมรับตั๋วพี่จุ๋มพร้อมกับบอกว่าที่นั่งเต็มแล้ว พวกเราที่ทยอยหาที่นั่งกันได้แล้วลุกกันพรึ่บพรั่บ เมื่อเห็นพี่จุ๋มยืนอยู่หน้ารถไม่ยอมเดินมาสักที ผู้เขียนเลยเดินออกไปข้างหน้ารถแล้วก็ได้รับคำตอบเดียวกันคือไม่มีที่นั่งพอสำหรับพี่จุ๋มแล้ว ผู้เขียนมองออกไปนอกตัวรถก็ยังคงเห็นผู้โดยสารตกค้างอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ก็เลยถามคนขับไปว่าแล้วจะทำไงกับคนที่จ่ายค่าตั๋วสำหรับรถเที่ยวนี้แล้ว คนขับนั่นบอกอย่างไม่ยินดียินร้ายว่าก็ไปขอคืนเงินได้ หรือจะเก็บตั๋วไว้รอรถเที่ยวถัดไปซึ่งจะออกเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น.

มาด้วยกันแล้ว พอถึงเวลาไปก็ต้องไปด้วยกัน พวกเราทั้งเจ็ดที่ได้ที่นั่งแล้วก็เลยต้องเดินลงจากรถ ซึ่งสร้างความยินดีปรีดากับผู้โดยสารที่ต่อแถวหลังจากพี่จุ๋มที่มองชะเง้อชะแง้ขึ้นมาบนรถว่าข้างบนเขาเจรจาอะไรกัน เพราะนั่นหมายความว่าจะมีที่นั่งว่างสำหรับคนเหล่านั้นอีกเจ็ดคน พอพวกเราลงจากรถลงไปเท่านั้นคนเหล่านั้นก็กรูขึ้นไปบนรถ แต่ยังไงก็ตามนอกเหนือจากพวกเราแล้วก็ยังคงมีผู้โดยสารตกค้างอีกจำนวนหนึ่ง

ผู้เขียนรู้สึกว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้เป็นไปด้วยดีส่วนหนึ่งก็เพราะบรรดาพี่ๆ ลูกทัวร์ของผู้เขียนมีความเข้าใจสถานการณ์และมองโลกในแง่ดี พี่ๆ เขาพูดกับผู้เขียนหลังจากที่เราตกรถเที่ยวแรกว่า ที่จริงก็ดีเหมือนกันที่เราตกรถเที่ยวนี้ เพราะเราจะมีเวลาอีกร่วมสองชั่วโมงที่จะได้ไปดูบ้านดูเมืองเรนเนสแห่งนี้ ก่อนที่เราจะนั่งรถเที่ยวถัดไป เพราะตอนขากลับเราจะไม่กลับมาเมืองนี้อีก เนื่องจากเราต้องนั่งรถไปต่อรถไฟในอีกเมืองหนึ่งเพื่อกลับปารีส คำพูดเหล่านั้นได้กลบความรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ของผู้เขียนที่อยากจะไปเห็น มง แซ็ง มิแชล ให้เร็วที่สุดตามที่ตั้งใจไว้

แล้วก็เป็นอย่างที่พี่เขาบอก เราใช้เวลาร่วมชั่วโมงที่จะเดินสำรวจเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งมีอะไรๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ร้านขายของ อาคารบ้านเรือน รวมทั้งผู้คน แต่ยังไงก็ตามเราก็เผื่อเวลาส่วนหนึ่งเพื่อที่จะได้เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่มายืนรอรถโดยสารที่ชานชาลา คราวนี้ไม่พลาดหลังจากมีบทเรียนว่าเมื่อซื้อตั๋วแล้วต้องรีบมายืนรอที่ชานชาลาเลย อย่าโอ้เอ้ ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อรถโดยสารมาเทียบชานชาลาพวกเราก็เป็นผู้โดยสารแปดคนแรกที่ได้ขึ้นบนรถ (คราวนี้ทากาวติดไว้เบาะที่นั่งแล้ว)

ระหว่างทางเราได้เห็นบรรยากาศแบบชนบทของฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ท้องทุ่งสำหรับปลูกพืชผักและใช้เลี้ยงสัตว์ ผ่านเส้นทางที่เป็นถนนแบบชนบทเล็กๆ คดเคี้ยวไปมาผ่านหมู่บ้านต่างๆ มากมาย ไม่นานหลังจากนั้นเราก็เริ่มเห็น มง แซ็ง มิแชล ค่อยๆ โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ อยู่เบื้องหน้า โดยมีทุ่งหญ้าเขียวขจีอยู่เบื้องหน้าและความเวิ้งว้างของทะเลสุดลูกหูลูกตาเป็นฉากพื้นหลัง ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตนเองที่ได้เห็นภาพ มง แซ็ง มิแชล ที่ค่อยๆ ปรากฎอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาของตนเองมากกว่าการเห็นภาพนั้นผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจากบ้านที่ห่างไกลออกไปจากที่นี่เกือบหมื่นกิโลเมตร

รถโดยสารพาเรามาเทียบถึงประตูทางเข้า มง แซ็ง มิแชล และเมื่อเราเดินลงจากรถแล้วจึงได้เห็นนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา หลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัย เดินกันให้คลาคล่ำ เราเดินสำรวจดูสิ่งโน้นสิ่งนี้ไปตามทางเรื่อยๆ และก็มาหยุดตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ของวิหารซึ่งต้องซื้อตั๋วเข้าชม โดยราคาของตั๋วขึ้นอยู่กับจำนวนของพิพิธภัณฑ์ที่เราจะเข้าชม มีตั้งแต่ราคาคนละ ๙ ยูโรสำหรับการเข้าชมพิพิธภัณฑ์หนึ่งแห่ง และ คนละ ๑๘ ยูโรสำหรับทุกพิพิธภัณฑ์ที่เขาจัดแสดง ไหนๆ ก็มาถึงแล้วเราเลือกที่จะจ่ายคนละ ๑๘ ยูโรเพื่อเข้าชมทุกสิ่งอย่าง ข้างในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของ มง แซ็ง มิแชล เครื่องใช้ไม้สอยในยุคเก่าๆ ที่ผ่านมา รวมไปถึงสถานที่ที่ใช้สำหรับขังนักโทษในช่วงที่สถานที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นเรือนจำชั่วคราว และโบสถ์สำหรับทำพิธีภาวนาของชาวคริสต์ เราเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงยอดสูงสุดของ มง แซ็ง มิแชล และมองลงมาข้างล่างเพื่อที่จะได้เห็นลานจอดรถบนทางที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแผ่นดินกับตัวเกาะที่ตั้งของ มง แซ็ง มิแชล ในขณะที่ข้างๆ กันนั้นคลื่นจากทะเลก็ซัดเข้าหาทางเชื่อมนั้นเป็น ระยะๆ กิจกรรมอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจคือการได้ดูน้ำทะเลหนุนทางเชื่อมแห่งนี้ เขาจะมีกำหนดการบอกช่วงเวลาว่าวันไหนบ้างที่ระดับน้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงจนท่วมทางเชื่อม ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาที่ว่านักท่องเที่ยวจะได้รับคำแนะนำให้ไปจอดรถที่อื่น

หลังจากที่ได้ชมตามที่ต่างๆ สมความตั้งใจแล้ว ก็ได้เวลากลับกันเสียที โดยขากลับนี้เราจะต้องมารอรถตรงจุดที่เขาจอดให้เราลงตอนขามา โดยคราวนี้ที่หมายของเราคือเมือง Dol de Bretagne (ขออภัยอ่านไม่ออก) ซึ่งรถโดยสารจะออกจาก มง แซ็ง มิแชล บ่ายสามโมงห้าสิบห้านาที พอได้เวลาบ่ายสามเศษๆ พวกเราก็มานั่งรอตรงม้านั่งที่เขาจัดไว้ให้รอรถโดยสารแล้ว เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนตอนขามา ถ้าเกิดพลาดรถเที่ยวนี้จะยุ่งกันใหญ่เพราะจะตกรถไฟและก็กลับปารีสไม่ได้จะเป็นเรื่อง เราวนเวียนอยู่แถวนั้นคอยสอบถามพนักงานของบริษัทรถโดยสารที่ยืนอยู่แถวนั้นว่าจุดที่เรานั่งรออยู่เนี่ยเป็นจุดรับผู้โดยสารไปเมือง Dol de Bretagne แน่นะ พนักงานนั่นตอบเรายิ้มๆ ว่าใช่อย่างจริงแท้แน่นอนเลย เขาคงขำท่าทางเราที่ดูไม่ค่อยมั่นใจลุกลี้ลุกลนยังไงชอบกลมั้ง เอาเหอะเสียฟอร์มไปสักหน่อยดีกว่าตกรถกลับปารีสไม่ได้ก็แล้วกัน

สักพักรถโดยสารที่จะพาเราไปเมืองที่ว่าก็มาถึง ปรากฎว่าผู้โดยสารไม่เต็มรถอย่างที่เรากลัวตอนแรก พอขึ้นรถได้เราก็ถามย้ำกับคนขับอีกทีให้แน่ใจว่าไปเมือง Dol de Bretagne แน่นะ คนขับไม่ได้ตอบแค่พยักหน้างึกงัก สำหรับตั๋วเราก็ซื้อกับคนขับเลยราคาคนละ ๖.๑๐ ยูโร ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๔๐ นาทีจาก มง แซ็ง มิแชล เราก็มาถึงสถานีรถโดยสารเมือง Dol de Bretagne ในเวลา ๑๖.๓๕ น. อีกเหมือนกันที่สถานีรถไฟตั้งอยู่ข้างกันนั่นแหละไม่ไปไหนไกล เราเดินข้ามถนนมาเพื่อมารอรถไฟ TGV ขบวนที่ ๘๐๙๐ ที่จะออกจากสถานีเมือง Dol de Bretagne สักพักรถไฟขบวนที่ว่าก็มาถึง จอดรับส่งผู้โดยสารอยู่สักพักก็ออกจากสถานีเมือง Dol de Bretagne ตรงตามเวลาคือ ๑๖.๕๘ น. สำหรับค่าตั๋วรถไฟเที่ยวนี้ราคาคนละ ๓๐ ยูโร เข้าใจว่าที่ถูกกว่าขามาเพราะไม่ใช่ขบวนด่วนเห็นจอดรับผู้โดยสารตลอดทางเลย กว่าจะถึงสถานีรถไฟมองปานาสก็เกือบสองทุ่มแล้ว

ผู้เขียนรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ค่อนข้างสมบุกสมบัน แต่ในขณะเดียวกันในฐานะของคนที่ชอบท่องเที่ยวและชอบเรื่องราวเก่าๆ แนวประวัติศาสตร์ ก็รู้สึกได้ว่าความตั้งใจของตัวเองได้เติมเต็มแล้วเมื่อได้มาพบเห็น สัมผัสบรรยากาศ มง แซ็ง มิแชล ในวันนี้









video credit to youtube by thomeisa

ไม่มีความคิดเห็น: