วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปารีส...ในความรู้สึก !!! Paris...it's the way you make me feel !!!




หลังจากเปิดบทความนี้ด้วยคลิปวีดีโอการท่องเที่ยวของพวกเราในปารีสไปช่วงหนึ่งแล้ว ก็ได้เวลามาบรรยายความรู้สึกและเล่าถึงสิ่งที่ได้ไปพบเห็นมาในปารีสในช่วงเวลาสองสามวัน

สำหรับตัวผู้เขียนเองครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปสัมผัสเมืองหลวงแห่งแฟชั่นและศิลปะของโลกอย่างปารีส เมื่อสมัยเพิ่งรับราชการใหม่ๆ ยังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย (ตอนนี้ตำแหน่งก็ยังน้อยอยู่) ผู้เขียนมีโอกาสไปยุโรปเป็นครั้งแรกเพื่อเข้ารับการฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานต่างประเทศแห่งหนึ่ง ระยะเวลาฝึกอบรมก็นานพอดู โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งเขาจัดกำหนดการให้ไปอบรมที่องค์การยูเนสโกในปารีส (เอ่ยชื่อหน่วยงานนี้ทีไร คนไทยปวดใจทีนั้น) ครั้งนั้นเลยเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ไปเห็นปารีสในแง่มุมต่างๆ

ปารีสเมื่อครั้งนั้นกับครั้งนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ภาพวาด งานศิลป์ ข้าวของต่างๆ ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์สวยงามอย่างไร ก็ยังคงสวยอยู่อย่างนั้น (ถึงแม้ว่าจะสังเกตได้ว่ามีของเก่าบางอย่างหายไป เช่น ข้าวของที่เป็นอารยธรรมเก่าแก่ของอียิปต์บางอย่างถูกส่งคืนกลับไปประเทศเจ้าของแล้ว) นอกจากนั้นความลือชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่คอยล่าของมีค่าจำพวกกระเป๋าเงินหรือของมีค่าอื่นๆของนักท่องเที่ยวและคนทั่วๆไป ในสถานีรถไฟใต้ดินและตามแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในปารีส ก็ยังคงมีอยู่อย่างยั่งยืน แต่ก็อย่างว่าที่ไหนๆ ก็มีมิจฉาชีพ ฉกชิงวิ่งราว เราซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวก็ต้องคอยระมัดระวังเอาเองจะได้เที่ยวอย่างมีความสุข แต่อย่างน้อยปารีสก็มีคุณูปการอย่างหนึ่งกับตัวผู้เขียนเองนั่นก็คือผู้เขียนรู้จักหัดอ่านแผนที่และวิธีใช้รถไฟใต้ดินก็เมื่อมาปารีสในคราวนั้นนั่นเอง จำได้ว่าพอเริ่มรู้จักอ่านแผนที่และการเปลี่ยนสายรถไฟใต้ดินตามสถานีต่างๆ รู้สึกสนุกมาก (ก็ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีระบบขนส่งสาธารณะแบบนี้) จนต้องพยายามหาเวลามาทดลองนั่งบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย

การกลับมาอีกครั้งในคราวนี้ความรู้สึกก็ไม่ต่างไปจากครั้งแรก ชอบสิ่งนั้นชังสิ่งนี้ซึ่งก็เป็นธรรมดาของอารมณ์มนุษย์ แต่โดยรวมก็ยังคงรู้สึกว่าปารีสก็ยังคงเป็นปารีสที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของมันเอง สำหรับการจัดเวลาการท่องเที่ยวของกลุ่มเราค่อนข้างผ่อนคลายลงมากเมื่อเทียบกับการเที่ยวในลอนดอน ดูเหมือนว่าเราจะเดินน้อยลง และใช้เวลาในสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งยาวนานมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่า paris musuem pass ที่เราใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ วิหารนอเตรอดาม หรือแม้กระทั่งพระราชวังแวร์ซายน์ มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับ london pass เลยทำให้พวกเรารู้สึกว่าไม่ต้องใช้ให้คุ้มด้วยการเข้าชมหลายๆ แห่งเหมือนกับในลอนดอน นอกจากนี้ราคาค่าตั๋วโดยสารรถไฟใต้ดินของที่นี่ก็ถูกกว่าที่ลอนดอน และก็มีหลากหลายประเภทให้นักท่องเที่ยวเลือก แต่สำหรับพวกเราแล้วเราเลือกที่จะซื้อตั๋วแบบ "a carnet” ที่เป็นตั๋วชุดสิบใบใช้สำหรับการเดินทางครั้งเดียวหรือแบบ single ride ตั๋วชุดสิบใบนี้ราคา เพียง ๑๒.๕๐ ยูโร เฉลี่ยก็คือใบละ ๑.๒ ยูโรต่อการเดินทางหนึ่งครั้งและต่อคน ซึ่งนับว่าถูกกว่าซื้อแบบตั๋วเดี่ยวที่เขาคิดราคาที่ ๑.๗ ยูโร

สำหรับเรื่องอาหารการกินของเราก็เป็นไปตามสภาพของกระเป๋าเงิน มื้อไหนกินหรูแล้วก็ต้องเฉลี่ยกลับมากินแบบแบกะดินบ้างเพื่อให้สถานภาพทางการเงินเหลือไว้ใช้จ่ายในประเทศสุดท้าย ซึ่งยังเหลืออีกตั้งสี่ประเทศ โดยจะเห็นว่าบางครั้งพวกเราก็ไปนั่งกินในร้านอาหารอย่างดีเลย อย่างเช่น ร้านที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็นร้านที่ตั้งอยู่ถนนชองเอลิเซ่เชียวนา แล้วราคาก็ไม่แพงอย่างที่พวกเรากลัวในตอนแรก เป็นร้านอาหารสัญชาติเบลเยี่ยม แต่ก็ทำสไตล์ฝรั่งเศส โดยอาหารขึ้นชื่อของเขาคือหอยแมลงภู่อบซอสอะไรซักอย่าง คล้ายๆ หอบแมลงภู่อบของบ้านเราที่ขายตามร้านทะเลเผาเหมือนกัน แต่น้ำซอสเขาสุดยอดมากเลย พวกเราตักกินซะจนเกลี้ยงหม้อเลย ส่วนหนึ่งคงอยากให้คุ้มค่าเงินที่จ่าย พูดซะตั้งนานยังไม่ได้บอกชื่อร้านเลย ชื่อร้านคือ “Léon de Bruxelles” ตั้งอยู่ถนนชองเอลิเซ่เลย มีคนรีวิวร้านเขาด้วยเนี่ย

www.mdfeeds.com/2010/06/08/leon-de-bruxelles-champs-elysees-paris-france

และนี่ก็เว็บไซท์ของร้านเขา ท่านไหนมีโอกาสไปปารีสก็ขอฝากร้านนี้ในอ้อมใจท่านด้วย อร่อยจริงเรื่องหอยอบ (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณา)

www.leon-de-bruxelles.fr

และบางมื้อบางคราวเราก็ต้องกินแบบถนอมเงินในกระเป๋ามีอะไรนิดหน่อยที่นำไปจากเมืองไทยก็เอามาแบ่งๆ กันกิน อย่างตอนที่ไปแวร์ซายน์น่ะก็นั่งกินกันแบบปิกนิกที่สวนข้างวังแวร์ซายน์อย่างที่เห็น จนบางทีคิดว่าตัวเองเป็นออสการ์ เดอ จาร์เจ กลับชาติมาเกิด ถึงตรงนี้มีหลายคนขมวดคิ้วแล้วซิ ใครเกิดไม่ทันยุคสมัยการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "กุหลาบแวร์ซายน์" รับรองไม่รู้จักออสการ์ เดอ จาร์เจ แน่ๆ เดอ จาร์เจนะ ไม่ใช่ เดอลา โฮยา เพราะนั่นเขาเป็นนักมวย ใครไม่ทราบลองหาคำว่า "กุหลาบแวร์ซายน์" ในกูเกิลได้

ท้ายสุดของวันเราก็ยังมาพึ่งอาหารผัดๆ ทอดๆ แบบเอเชียที่ร้านอาหารจีนที่ชื่อ "Jinding” ซึ่งเป็นร้านใกล้ ที่พักของเรา หรือไม่ก็อาศัยผลไม้ ไส้กรอก แฮมจาก marche franprixหรือซุปเปอร์ทีอยู่ใกล้ๆ กัน แค่นี้ก็มีแรงที่จะเที่ยววันต่อๆ ไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: