วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

คุยคั่นเวลา (ตอนบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์)

ถึงวันนี้วันที่ 14 เมษายน 2552 ผู้เขียนยังไม่ได้ post เรื่องเล่าเที่ยวลาวตอน 10 ทั้งๆ ที่เขียนค้างไว้เยอะพอสมควร เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะทำอะไรได้ เป็นเพราะว่าเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองจากกลุ่มโจรกบฏใส่เสื้อสีแดงที่อ้างว่าเป็นคนไทยภายใต้การนำของซาตานในคราบนักบุญที่ร่อนเร่พเนจรอยู่นอกประเทศ

ตัวผู้เขียนเองเริ่มมีอาการเครียดจากเหตุการณ์การก่อการจราจลของกลุ่มกบฏนี้ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 9 แล้ว เนื่องจากว่ามีกลุ่มทาสที่ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองที่เป็นแท็กซี่มาปิดการจราจรที่แยกดินแดงใกล้กับสถานที่ทำงาน รวมไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันนั้นต้องรีบกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่สี่โมง โดยต้องใช้เส้นทางอื่นที่ไกลออกไปลิบเลย เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่เป็นอัมพาตของเย็นนั้น กว่าจะถึงบ้านก็เย็นย่ำค่ำมืด

พออีกสองวันต่อมา อารมณ์เริ่มพลุ่งพล่านอีกครั้งเมื่อมีอดีตนักร้องฉายานักร้องอมฮอลล์ (ที่จริงน่าจะอมอวัยวะเบื้องต่ำถึงจะเหมาะสมกับสปีชีส์)ที่เป็นแกนนำ นำพวกพ้องเขาไปก่อการที่พัทยาจนทำให้การประชุมอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพล้มพังพาบอย่างไม่เป็นท่า เป็นที่อับอายขายขี้หน้าเขาไปทั่วโลก ความน่าเชื่อถือของประเทศในเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยผู้นำในสายตาชาวโลกตกต่ำสุดสุด ความเสียหายทางด้านมูลค่าของเงินมากมายมหาศาลยิ่งกว่าตอนพันธมิตรไปชุมนุมที่สุวรรณภูมิซะอีก

ไหนจะเรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงที่กลุ่มโจรเหล่านี้ไปแสดงอิทธิฤทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยหลังจากที่นายกรัฐมนตรีประกาศพรก. สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ในวันต่อมา มันเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในประเทศอะไรสักประเทศ ที่ไม่ใช่เมืองไทยประเทศที่มีความสงบสุขมาโดยตลอดในช่วงก่อนหน้าที่ทรราชกบฏหน้าเหลี่ยมจะมาเสวยอำนาจ ในวันนั้นนั่งดูทีวีกับแม่ ดูรายงานข่าวที่โจรกลุ่มนี้ไล่ล่าทำร้ายนายกรัฐมนตรีและกลุ่มบุคคลสำคัญ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้จากการที่มีความเห็นต่างด้านการเมือง กลุ่มคนเหล่านี้ไม่รู้จักเหตุและผล พร้อมที่จะทำร้ายหรือสังหารคนอื่นได้เป็นเพียงเพราะว่าคนอื่นเห็นต่างจากตัวเอง อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีเหตุผลมาหักล้างข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายเลยต้องใช้กำลังเป็นเครื่องมือ เห็นแม่มีสีหน้าเศร้าสร้อยเพราะแม่เขาชอบนายกรัฐมนตรี แล้วรู้สึกหดหู่ เพราะเขาคงสงสารนายกรัฐมนตรี แม่หันมาพูดกับผู้เขียนด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า "สงสารอภิสิทธิ์นะ ทำไมคนดีต้องโดนทำร้ายอย่างนี้"

คืนนั้นหลังจากที่หัวสมองอัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสารจากนักวิเคราะห์หลายท่านที่มีความเห็นตรงกันว่าจะเกิดการปฏิวัติแน่ในคืนนั้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรีแสดงอาการเพลี่ยงพล้ำให้แก่โจรกบฏหน้าเหลี่ยม ที่น่าตกใจคือนักวิเคราะห์บอกว่าจะเป็นการปฏิวัติของกลุ่มคนที่สนับสนุนโจรหน้าเหลี่ยม ซึ่งถ้าหากการปฏิวัติสำเร็จบ้านเมืองเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันเลยทีเดียว เราอาจจะไม่มีสถาบันที่เราเคารพนับถืออีกต่อไป ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านั้นแล้วรู้สึกตัวว่าเครียดมาก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อจินตนาการถึงภาพอนาคตหากเหตุการณ์เช่นนั้นเป็นจริงขึ้นมา แต่อย่างไรเสีย ก็บอกกับตนเองว่าไม่มีทางที่จะยอมให้มันเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ หรอก เพราะเราก็เป็นหนึ่งในจำนวนพสกนิกรอีกหลายล้านคนที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ผู้ที่ทรงงานหนักมาตลอดในระยะเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา พอมาถึงตรงนี้แล้วก็นึกถึงบทความของคุณวิโรจน์ งามแม้น หรือใช้ชื่อนามปากกาว่า "เปลว สีเงิน" ในคอลัมน์คนปลายซอยในหนังสือพิมพ์ "ไทยโพสต์" เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 ในหัวข้อเรื่อง อัตประวัติบัดซบ"ทักษิณแม่ทัพแดง" เปลว สีเงิน เปรียบเทียบโจรหน้าเหลี่ยมว่าเป็น "ไพร่ตะกายวอ" มองเห็นภาพเลย ลองอ่านดูมั้ย
http://www.thaipost.net/news/260309/2298

ผู้เขียนคงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณของจอมโจรหน้าเหลี่ยมตนนี้รวมไปถึงญาติโคตรวงศ์ของจอมโจรในเรื่องของความเหิมเกริมคิดจะตีเสมอเจ้า เพราะเปลว สีเงิน ได้เปลือยธาตุแท้ของหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งรวมไปถึงหมาขี้เรื้อนร่วมครอกเดียวกันกับมันที่ได้อาศัยใบบุญจากเจ้าของบ้านที่มีความเมตตาให้น้ำข้าวมันกินอยู่ทุกวี่วัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งมันก็จะไล่เจ้าของบ้านเพื่อจะได้กินทุกอย่างที่ในบ้านนี้อย่างอิสระเสรี

วันรุ่งขึ้นยิ่งมีความหดหู่ใจมากขึ้นไปอีก ที่กลุ่มโจรเสื้อแดงแยกกันไปเผาบ้านเผาเมืองตามจุดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ แต่ในสิ่งเลวร้ายที่สุดมันก็ยังมีสิ่งดีเกิดขึ้น ถึงตรงนี้ผู้เขียนก็ขอขอบคุณจอมโจรหน้าเหลี่ยมกับแก็งค์โจรของเขาด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความสามัคคีของประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของกบฏเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในย่านดินแดง ถนนเพชรบุรี แยกยมราช ตลาดนางเลิ้ง เพื่อเป็นการปกป้องถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งก็เป็นพฤติกรรมเอาอย่างจากปรากฏการไล่โจรเสื้อแดงครั้งแรกที่สาธรนั่นเอง ทำให้เราเห็นว่าหากคนในชาติมีความสามัคคีเราก็สามารถจะผ่านพ้นวิกฤตการณ์ร้ายได้เสมอ

บทสรุปของเหตุการณ์ครั้งนี้มันยังไม่ใช่บทสรุปส่งท้าย เพราะทรราชกับเครือข่ายยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จะต้องมีสงครามในยกต่อไป จะยังไงก็ตามอยากจะเห็นประชาชนคนไทย รวมทั้งเพื่อนฝูง คนรู้จักที่ใกล้ชิดของผู้เขียนที่ท่านเคยบอกว่าขอทำตัวเป็นกลาง หรือประเภทที่ชอบพูดว่า "บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว" ตัดสินใจได้แล้วว่าท่านจะเลือกอยู่ข้างใด ไม่ใช่สีแดง หรือสีเหลือง แต่เป็นการเลือกข้างของความดีและความเลว ท่านๆ ทั้งหลายที่มีวิจารณญาณ คงเห็นแล้วว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ได้บอกอะไรแก่ท่านบ้าง แล้วท่านล่ะจะมีส่วนช่วยทำให้บ้านเมืองเราดำเนินไปในทิศทางที่ดีต่อไปได้อย่างไร อย่าคิดถึงแต่ตัวเองมากเสียจนลืมชาติบ้านเมือง หากสิ้นชาติเสียแล้วแล้วตัวท่านจะสุขได้อย่างไร ลองหาหนังสือ "บันทึกของแอนแฟรงค์" มาอ่านซะบ้าง พฤติกรรมของฮิตเลอร์และพรรคนาซีของเขา ถ้าเทียบไปแล้วไม่ติดฝุ่นพฤติกรรมของทรราชหน้าเหลี่ยมตนนี้เลย อย่าให้ทุกอย่างมันสายเกินการณ์ แล้วจะมาบ่นว่า "รู้อย่างนี้ เป็นยังโง้น ทำยังงี้ ก็ดี"

สำหรับครั้งนี้ผู้เขียนอยากจะบอกว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" ผู้เขียนคิดว่าท่านนายกแก้ไขเหตุการณ์วิกฤตได้ดีมากๆ วุฒิภาวะของท่านมีมากเกินวัยของท่าน ผู้เขียนเองอยากจะให้กำลังใจท่านนายกอภิสิทธิ์ ให้ท่านนายกได้มีกำลังใจต่อสู้และทำงานให้กับชาติบ้านเมืองต่อไป ประเทศไทยไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ดีอย่างนี้มานานแล้ว (อันนี้สำนวนของพีปอง อัญชลี ชอบมาก ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วย) ถ้าจะสังเกตผู้เขียนเรียกว่า "ท่านนายก" ซึ่งเป็นการเรียกที่มาจากใจที่เคารพนับถือในความดีงาม มิใช่เป็นการเรียกตามแบบพิธีการทั่วไปที่ผู้เขียนในฐานะข้าราชการจำเป็นต้องเรียกข้าราชการฝ่ายการเมือง หรือแม้กระทั่งข้าราชการพลเรือนระดับสูงส่วนใหญ่ เพราะคนเหล่านั้นคุณวุฒิ ชาติวุฒิ รวมทั้งระดับจริยธรรม ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จึงมีผลทำให้บ้านเมืองเราติดหล่มไม่ไปไหนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

หวังว่าตื่นเช้าขึ้นมาในเช้าต่อๆ ไป เราคงไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้








อย่าลืมว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ที่เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องของธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ตราบใดที่ท่านนายกอภิสิทธิ์รักษาความดีงาม ความถูกต้อง ความมีวุฒิภาวะได้อย่างนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ที่ยึดมั่นในความดี ความถูกต้อง ก็จะสนับสนุนท่านต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: