วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุยคั่นเวลา (วิทยานิพนธ์)


ผู้เขียนหายไปจากการ up blog ไปนานเกือบเดือนเหมือนกัน ไม่ได้ไปไหนไกล หรืออยู่ห่างคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด เป็นเพราะช่วงนี้กินไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ ไม่ได้อกหัก รักคุดแต่ประการใด แต่เป็นเพราะว่าช่วงนี้ภาระด้านการศึกษามาประชิดตัวมากเหลือเกิน ซึ่งผู้เขียนอยู่ระหว่างการจัดทำ thesis หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าวิทยานิพนธ์นั่นเอง

ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำหัวสูงใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษมาอธิบายความแต่อย่างใด แต่เนื่องจากหลักสูตรที่กำลังศึกษาอยู่นี้เป็นการศึกษาภาคภาษาอังกฤษ อยู่มหาวิทยาลัยแถวท่าพระจันทร์ เป็นหลักสูตรที่ตรงตามความต้องการและมีประโยชน์ที่จะใช้ในหน้าที่การงานตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง

มีหลายคนถามว่าทำไมไม่เลือกเรียนแผน ข.ที่ไม่ต้องทำ thesis แต่ทำสารนิพนธ์หรือ Individual Study แล้วไปสอบประมวลความรู้ (Comprehensive exam)แทนซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ทำงานควบคู่กับการเป็นนักศึกษาด้วย คำตอบก็คือว่าเป็นแรงบันดาลใจส่วนตัว ที่อยากจะมีอะไรสักชิ้นหนึ่งที่ดูดีหน่อย (ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า)เป็นผลงานไว้บ้าง โดยเฉพาะผลงานชิ้นนี้ต้องผลิตเป็นภาคภาษาอังกฤษล้วนๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองนั้นอยากทำมาก แต่ก็ไม่มั่นใจศักยภาพของตนเองเท่าไหร่ว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่

วันนี้เพิ่งไปพบอาจารย์ที่ปรึกษามา ซึ่งท่านเป็นคนเก่งคนหนึ่งของคณะ และทำงานเป็นนักวิจัยที่สภาการวิจัยด้วย โดยได้ให้ข้อคิดเห็นและติติงผลงานที่เสนอไปว่ายังไม่เป็นที่พอใจ ผู้เขียนต้องอ่านวารสารวิชาการต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัยให้มากกว่านี้ เพื่อเราจะได้ดูแนวลักษณะการเขียนของนักวิชาการเหล่านั้น ว่าเขามีเทคนิคในการนำเสนอเนื้อหาและการใช้ภาษาอย่างไร การอ่านมากๆ ทำให้เราซึมซับลักษณะและแบบการเขียนของนักวิชาการ ไม่ใช่การเขียนและการนำเสนอของคนทั่วไปอย่างเราๆ ที่ไม่ใช่คนในแวดวงวิชาการ ผู้เขียนฟังแล้วก็เห็นด้วยและยอมรับถึงข้อแนะนำนั้น พร้อมทั้งรับปากว่าจะนำมาแก้ไขปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้น

ตอนนี้ประเด็นก็มีอยู่ว่าการทำวิทยานิพนธ์นี้ ต้องใช้ความตั้งใจและความมานะพยายามอย่างยิ่ง และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรทำๆ หยุดๆ เพราะกระบวนการคิดวิเคราะห์จะขาดตอน ทำให้ผลงานออกมาไม่ได้ดี ผู้เขียนก็เลยขอยื่นลาราชการเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนผู้บังคับบัญชาจะอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะอนุญาตหรือไม่ ผู้บังคับบัญชาในที่นี้ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจอนุญาต เป็นแต่เพียงผู้บังคับบัญชาสายตรงที่ต้องนำเสนอผู้ใหญ่ต่อไป ในกรณีนี้ผู้เขียนคิดอย่างเข้าข้างตนเองว่า การขอลาครั้งนี้สมเหตุสมผล เพราะความรู้ที่จะได้มาสามารถนำมาพัฒนางานในอนาคตได้ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรจะได้นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังต่อไป

อย่างไรก็ตามการเข้ามา up blog ของตนเองเป็นการผ่อนคลายความเครียดอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนรับสารภาพเลยว่า ช่วงเวลาที่ต้องไปพบอาจารย์เพื่อไปเสนอผลงาน ก่อนหน้านั้นเป็นเวลาเครียดสุดสุด หากเรายังเขียนไม่เสร็จ และกลัวว่าจะเสร็จไม่ทัน รู้สึกว่าสมองมันแทบจะระเบิดออกมาเลย เวลาที่เราต้องคิดประโยคหรือคิดคำที่เป็นภาษาเขียน มันยากยิ่งกว่าการใช้ภาษาพูดที่พูด yes no ok cocola มากมายนัก ตอนนี้วิธีพักผ่อนคลายเครียดอีกอย่างหนึ่งคือ ดูภาพฟังข่าวแพนด้าน้อย :) และก็ให้กำลังใจพังกำไลให้หายป่วยไวๆ ประกอบกับการนั่งจิบกาแฟขมกินขนมหวาน (อันนี้เป็นสำนวนของคอลัมนิสต์ท่านหนึ่งใน manageronline หรือเปล่าขอยืมมาก่อน)แค่นี้ก็สบายอุราแล้ว



สำหรับพี่ๆ ที่ไปลาวด้วยกันขอบอกใบ้ให้นิดว่า หลังจากกลับมาจากหลวงพระบางแล้วก็รู้สึกอยากกลับไปเที่ยวที่เมืองหลวงพระบางอีก ดังนั้นหัวข้อวิทยานิพนธ์จึงเกี่ยวกับหลวงพระบางเนี่ยแหละ อันนี้ขอบอกว่าเปลี่ยนหัวข้อกันกลางอากาศเลย หลังจากกลับมาแล้ว คิดเลยเถิดไปว่าเวลาไปเก็บข้อมูลภาคสนามต้องใช้วิธีวิจัยแบบการเฝ้าสังเกต กับการมีส่วนร่วม น่านเป็นไง อาจารย์มาอ่านแล้วต้องว๊ากแน่ว่า นี่มันนักวิจัยชาติไหนเนี่ย literature review ยังไม่ได้ทำเลย คิดเลยไปถึงวิธีเก็บข้อมูลเป็นตุเป็นตะ งานนี้เนี่ยนะหากมีความเป็นไปได้ ได้อยู่หลวงพระบางเป็นเดือนแน่ ชอบจริงๆ เลย

แต่ว่ากว่าจะถึงวันนั้น ต้องใช้ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น :) ซะก่อน ผู้อ่านคนไหนมีประสบการณ์มากมายอยากจะให้ข้อแนะนำกับผู้เขียนเรื่องทำวิทยานิพนธ์ ขอความกรุณาส่งข้อแนะนำมาได้ตามท้ายบทความ จะเป็นพระคุณอย่างสูง (เท่าที่สังเกตมีคนหลงมาอ่านพอสมควร ดูจาก counter ข้างล่าง)

ขอขอบคุณภาพจาก พลังจิตดอทคอม และ studenthacks.org

ไม่มีความคิดเห็น: