วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว ตอนสุดท้าย

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากหลวงพระบางถึงเวียงจันทน์ เบ็ดเสร็จเกือบสิบชั่วโมง ในจำนวนนี้เราแวะพักอิริยาบถกับกินข้าวกลางวันด้วย โดยเรามาแวะกินข้าวกันที่วังเวียงก็ประมาณเที่ยงกว่าเกือบบ่ายแล้ว ดังนั้นทุกคนอยู่ในอาการหิวโหยตาลาย โดยเฉพาะคนขับ เรามาแวะพักกินข้าวที่โรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำซอง โดยเขาได้เปิดบริการเป็นร้านอาหารด้วย



ตอนที่เราเข้าไปนั้นร้านอาหารไม่มีลูกค้าคนใดใช้บริการอยู่ มีเพียงเจ้าของที่เป็นผู้หญิงฝรั่ง กับพนักงานร้านที่กำลังนั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ พอพวกเราเข้าไปกัน 7 คน ก็ลุกกันพรึ่บพรั่บ คงนึกในใจว่างานนี้คงได้เงินจากเราไปหลาย แต่เปล่าหรอกคณะเรายังคงตั้งมั่นอยู่ในหลักการเดิมคือ budget trip ก็ยังคงใช้เงินแบบประหยัด ดังนั้นเราจึงสั่งอาหารตามสั่งคนละจาน อย่าง กะเพราราดข้าว ไข่เจียวราดข้าว อะไรเงี้ย แถมพี่นิยังงัดเอามาม่าคัพที่ซื้อไปตั้งแต่อุดร และยังไม่ได้เปิดกิน ก็เอามาเปิดกินซะตอนนี้ ไม่อยากเอากลับไปให้หนักกระเป๋า คนที่จริงจังกับการกินมาม่าคัพเห็นจะเป็นคนขับ บุญคงหิวมากชั่วเวลาแป๊ปเดียวกินซะเกลี้ยงถ้วย



ในขณะที่ในครัวเราได้ยินเสียงเขาสับหมูกันให้วุ่นวาย งานนี้เราก็เลยมั่นใจกันว่าคงอีกนานกว่าจะได้กิน ก็เลยนั่งมองวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำซองไปพลางๆ เห็นน้ำแล้วใจจะได้เย็นๆ เพื่อจะได้นั่งรออาหารได้อย่างอดทน เห็นเด็กๆ โดดลงน้ำกันให้ตูมตาม เล่นสนุกสนานกันก็ให้นึกถึงเด็กบ้านเรา โดยเฉพาะเด็กในเมืองหลวงที่วันๆ ไม่ได้มีโอกาสดีได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเด็กพวกนี้ เสร็จจากเล่าเรียนเขียนอ่านประจำวันในโรงเรียนแล้ว ต้องไปเรียนพิเศษต่อ เสาร์อาทิตย์ก็ต้องเรียน หรือบางรายต้องไปเรียนกิจกรรมเสริมที่พ่อแม่ในแวดวงเซเลบเขาเอาไว้คุยอวดกันเพื่อแสดงความสามารถของลูกตัวเอง

ที่จริงผู้เขียนไม่ได้มีจิตใจต่อต้านการประพฤติปฏิบัติอะไรทำนองนี้ของคนไทยเราเท่าไหร่นะ ความจริงแล้วการเรียนพิเศษหรือการเรียนกิจกรรมเสริมพวกนั้นถ้าเป็นไปด้วยความเต็มใจของเด็ก และพ่อแม่มีฐานะไม่เดือดร้อนก็ควรจะส่งเสริม ซึ่งทุกอย่างต้องมีความพอดีและเหมาะสม เวลาเรียนตั้งใจเรียน เวลาเล่นเล่นให้เต็มที่ แต่ทุกวันนี้ผู้ใหญ่ปลูกฝังค่านิยมอะไรที่ผิดๆ ให้แก่เด็กๆ ของเราตั้งแต่อายุยังน้อย ในเรื่องการแข่งขันโดยเฉพาะเรื่องเรียน มันเลยทำให้เด็กไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตธรรมชาติภายนอก ที่จริงการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมันก็เป็นโลกของการเรียนของชีวิตเราจริงๆ เลยละ มันเป็นห้องเรียนที่ใหญ่โตมาก เรามีพื้นดินพื้นหญ้าเป็นที่นั่งเรียน มีท้องฟ้าที่บางวันก็ฟ้าใสกระจ่าง บางวันก็มืดครึ้ม เป็นกระดานดำ มีสรรพสิ่งที่เป็นทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตรอบตัวเสมือนเป็นเนื้อหาในตำรา แต่คนเราก็ยังขวนขวายที่จะมี จะเป็น ที่ฝืนต่อกฎแห่งธรรมชาติ







พวกเรารออาหารที่สั่งด้วยความใจเย็นถึงแม้จะนาน แต่พ่อครัวก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง อาหารส่วนใหญ่รสชาติอร่อย โดยเฉพาะจานข้าวผัดกะเพราของผู้เขียน เราใช้เวลาจัดการอาหารมื้อกลางวันพร้อมกับมาม่าคัพด้วยความรวดเร็ว ไม่นานเราก็เดินทางออกจากวังเวียงมุ่งสู่เวียงจันทน์

ระหว่างทางเราได้พบเห็นขบวนรถตู้ทะเบียนกรุงเทพฯ ของนักท่องเที่ยวชาวไทยจอดอยู่ข้างทางหลายคัน โดยมีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ในลักษณะที่ผิดท่าทาง และมีรอยบุบอยู่ที่ตัวรถ เราก็เลยคาดว่ารถตู้คันดังกล่าวคงจะไปเฉี่ยวชนอะไรเข้า ผู้โดยสารจากคันอื่นๆ ลงมาช่วยกันสำรวจดูความเสียหาย คณะของพวกเราได้แต่มองผ่านคณะนักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มนี้ไป เพราะเห็นว่ามีผู้คนมากมายคอยช่วยกันดูอยู่แล้ว

รถของเราผ่านขบวนรถตู้ของคนไทยกลุ่มนั้นมาได้ไม่นานนัก ขบวนรถตู้ดังกล่าวก็กลับมาขับแซงรถตู้ของเราไป และก็ขับแข่งไปแซงรถที่อยู่คันหน้าของเราต่อไปอีก เรียกง่ายๆ ว่า นำนิสัยถาวรในเรื่องการขับรถเร็วมาใช้ที่ประเทศลาวนี่ ผู้เขียนชำเลืองดูอากัปกิริยาของบุญว่าเขาจะทำท่าทางหรือสีหน้าอะไรบ้าง แต่ก็เห็นบุญเฉยๆ ไม่มีอารมณ์ใดๆ แสดงออกทางสีหน้า ยังคงขับรถด้วยความใจเย็น ไม่มีคำสบถ คำบ่นใดๆ ออกจากปาก สิ่งนี้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกละอายใจแทนคนขับรถตู้เหล่านั้นซะจริงๆ เลย เรามักชอบแสดงปมเขื่องต่อเพื่อนบ้านของเรา นี่ไงที่เราด้อยกว่าลาวเขา เราขาดในเรื่องน้ำใจและการให้ความเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่น

เรามาถึงเวียงจันทน์ประมาณสี่โมงเศษ บุญพาพวกเรามาซื้อตั๋วที่สถานีรถโดยสารเพื่อจะนั่งรถ Inter Bus ไปอุดรธานี โดยรถที่เราจะนั่งไปนั้นจะออกจากสถานีประมาณหกโมงเย็น ซึ่งก็ยังพอมีเวลาที่จะไปเดินดูอะไรรอบๆ กำแพงเมืองเวียงจันทน์บ้าง บุญพาเราไปที่ประตูชัย เราก็เดินดูรอบๆ ความโอ่อ่าของประตูไซในภาษาลาว ที่สร้างเลียนแบบมาจากประตูชัยที่ปารีส โดยประตูชัยนี้ก่อสร้างเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของวีรชนของชนชาติลาวที่เสียชีวิตในสงคราม





รอบๆ พื้นที่ของประตูชัยเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการกระทรวง กรมต่างๆ ของลาว ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาเลิกงานพอดี เราจึงได้เห็นข้าราชการทั้งหญิงชายทยอยเดินทางออกมา โดยส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซต์เป็นยานพาหนะ เราได้ใช้เวลาที่เหลืออีกนิดหน่อยไปแวะดูพระธาตุหลวง ซึ่งขณะนั้นเขาปิดให้เข้าชมแล้ว เราก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอก ซึ่งข้างหน้าเจดีย์พระธาตุหลวงเป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ซึ่งตามประวัติแล้วพระธาตุหลวงนี้มีอายุการก่อสร้างนับพันปีเหมือนกับเจดีย์พระธาตุพนมที่บ้านเรา สำหรับพระไชยเชษฐาธิราชท่านมีความสำคัญตรงที่เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรล้านช้างที่ย้ายราชธานีจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทน์นี้ และได้โปรดให้บูรณะและสร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่



เดินเที่ยวได้ไม่นาน เราก็ต้องรีบกลับไปที่สถานีขนส่งเพื่อไปรอขึ้นรถ แต่ถึงยังงั้นก็ตามทีก็ยังมีพี่บางคนสามารถใช้ความสามารถพิเศษในการใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดซื้อผ้าไหมจากร้ายขายของที่ระลึกที่พระธาตุหลวงกลับมาจนได้

เรามาร่ำลาบุญที่สถานีขนส่ง นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายสำหรับการเหมารถจำนวนสี่วันแล้ว เราได้ให้ค่าตอบแทนสำหรับความมีน้ำใจของเขาตลอดสี่วันที่ผ่านมาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นพวกเรามานั่งคิดคำนวนกันว่าเราได้ใช้จ่ายสำหรับการเที่ยวครั้งนี้เป็นเงินเท่าไหร่ คำตอบที่ได้ก็คือคนละ 6,000 บาท ซึ่งอาจมีเศษนิดหน่อย นับว่าถูกมากสำหรับการเดินทางที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวอย่างนี้

รถ Inter Bus จากบริษัทขนส่งไทยมารับเราและผู้โดยสารอื่นๆ ที่เวียงจันทน์ค่อนข้างช้ากว่ากำหนด เมื่อเราไปถึงด่านตรวจตรงสะพานมิตรภาพเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการการออกเมืองที่ฝั่งลาวแล้ว รถของเราจึงแล่นขึ้นสะพานมิตรภาพเพื่อข้ามพรมแดนกลับไปฝั่งไทย มองออกไปนอกตัวรถเห็นแม่น้ำโขงอยู่ในความมืดมิดลิบๆ ข้างหน้า ในขณะที่รถก็แล่นออกห่างจากฝั่งลาวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกึ่งกลางสะพานที่เป็นเส้นแบ่งพรมแดนของเราสองประเทศ



เห็นธงชาติลาวและธงชาติไทยปักไว้คู่กันห่างกันเพียงเล็กน้อย เป็นสิ่งบ่งบอกว่าเราคงต้องบอกลาประเทศลาวไว้ตรงนี้ ขอขอบคุณสำหรับน้ำใจและความเอื้อเฟื้อของเพื่อนชาวลาวที่เราได้พบปะ ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้เราได้กลับไปเยี่ยมเยือนอดีตของเรา หวังว่าประเทศลาวจะรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ได้ตราบนานเท่านาน ขอบคุณพี่ๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกันและผู้อ่านคนอื่นๆ ที่ติดตามอ่านมาถึงตอนจบ หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสไปทักทาย "สะบายดี" เพื่อนบ้านที่น่ารักของเราอีกครั้งในเร็ววันนี้

ไม่มีความคิดเห็น: