วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เปิดลิ้นชักความทรงจำที่แคนาดา ตอน 9: MACKPACKER (2)




"เลขที่ 75 ถนนนิโคลัส อยู่เยื้องๆ มหาวิทยาลัยออตตาวา เอ ก็น่าจะอยู่แถวนี้นา" ผู้เขียนนึกในใจพร้อมกับอ่านข้อมูลในหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวรวมทั้งเหลียวซ้ายแลขวามองหาบ้านพักเยาวชนไปพลาง หลังจากลงจากรถเมล์มาเมื่อประมาณสิบห้านาทีก่อน และก็ต้องเดินย้อนมาเป็นระยะทางพอสมควรท่ามกลางความหนาวเหน็บในเวลาเกือบสามทุ่ม ทั้งนี้เพราะรถเมล์แล่นเลยป้ายที่ผู้เขียนจะต้องลงไปไกลพอสมควร

"Could you please drop me off at the stop nearby Ottawa U.?" ทันทีที่ขึ้นรถเมล์ผู้เขียนบอกคนขับว่าถึงป้ายใกล้กับมหาวิทยาลัยออตตาวาช่วยจอดให้ผู้เขียนลงด้วย พลางหาที่นั่งใกล้คนขับเพื่อสะดวกสำหรับการสอบถามเส้นทางเดินรถ

"sure, gal" คนขับรถเมล์ชายสูงวัยหน้าตาท่าทางใจดีตอบกลับผู้เขียนพร้อมด้วยรอยยิ้ม

ระหว่างนั่งมาในรถผู้เขียนก็คอยสังเกตเส้นทางไปด้วย แต่ก็จดจำอะไรไม่ได้มากเนื่องจากเป็นเวลามืดค่ำแล้ว แต่ก็พยายามสังเกตดูป้ายบอกชื่อถนนว่าใกล้ถึงที่หมายหรือยัง สักพักตาลุงคนขับก็หยุดรถกะทันหัน พร้อมหันมาบอกผู้เขียนด้วยน้ำเสียงอุทานตกใจนิดหน่อย

"Oh, holy cow! we've just passed by the stop that you'd like to get off. I'm so sorry. I forgot it.

"โธ่เอ้ยคุณลุง จะมาอุทานวัวศักดิ์สิทธิ์อะไรเนี่ย นี่ขับเลยมาไกลประมาณไหนเนี่ย เฮ้อ" ผู้เขียนนึกในใจหลังจากได้ยินคำอุทาน holy cow แบบที่คนแ่ก่ๆ ที่นี่เขาชอบใช้กัน

"Is that far from here?" ผู้เขียนถามลุงคนขับรถเมล์ว่าเลยมาไกลหรือเปล่า

"It's not that far, just ten minutes walk, gal. Straight back to this street, and you'll see the U. on the right corner." ลุงคนขับบอกเส้นทางเดินกลับให้ผู้เขียน

ลุงคนขับจอดรถเพื่อบอกเส้นทางแก่ผู้เขียนเป็นพักหนึ่ง แต่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในรถสามสี่คนก็ยังมีน้ำใจดีไม่มีใครอารมณ์เสียที่ต้องเสียเวลา

ผู้เขียนเดินลงจากรถ พร้อมกับเสียงขอโทษขอโพยของตาลุงคนขับไล่หลังมาด้วย "I'm so sorry, have a good night gal" "No problem, you too" ผู้เขียนตอบกลับลุงคนขับไป

แล้วตัวผู้เขียนก็ต้องระหกระเหินเดินท่อมๆ ท่ามกลางกองหิมะเฉอะแฉะมาตามถนนที่ลุงคนขับบอกมาเรื่อยๆ "นี่ถ้าต้องใช้เวลาเดินย้อนกลับเป็นครึ่งชั่วโมงนะ ไม่มีทางยอมเด็ดขาด หนาวก็หนาวเมื่อยก็เมื่อย ต้องให้ตาลุงนั่นขับกลับมาส่ง" ผู้เขียนบ่นกับตัวเองดังๆ จะว่าไปผู้เขียนใช้เสียงดังเพื่อเป็นเพื่อน เพราะแถวนั้นนอกจากจะมีแค่ไฟสลัวๆ จากไฟทางแล้ว ยังไม่มีใครสักคนเดินผ่านเลย ที่จริงก็อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นหน้าหนาวและก็ล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืนอย่างนี้ถ้าคนเขาไม่มีธุระปะปังจริงๆ คงไม่มีใครสิ้นคิดมาเดินท่อมๆ เหมือนอย่างที่ผู้เขียนทำอยู่ตอนนี้หรอก

แล้วผู้เขียนก็พาตัวเองมาถึงจุดหมายตรงมหาวิทยาลัยออตตาวาจนได้ แล้วก็พยายามมองหาตึกรามที่มีความน่าจะเป็นว่าเป็นบ้านพักเยาวชน ส่วนใหญ่บ้านพักเยาวชนที่ผู้เขียนเคยไปสัมผัสมาแล้วจะเป็นตึกสมัยใหม่ตกแต่งค่อนข้างดี พอมาที่นี่ผู้เขียนก็จินตนาการว่าภูมิสถาปัตย์ก็คงไม่ต่างจากที่อื่น เมื่อมองจากจุดที่ตั้งของมหาวิทยาลัยออตตาวาแล้วผู้เขียนก็ไม่เห็นตึกตามที่ตัวเองจินตนาการไว้อย่างไรเลย มองเห็นก็แต่ตึกหอคอยทรงเก่าๆ เหมือนปราสาทท่านเคาท์แดรกคูลาตั้งทมึนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เหลียวซ้ายแลขวาว่าจะคิดอ่านทำประการใดดี ทันใดก็มีหนุ่มรูปร่างสูงเดินผ่านมา ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะเป็นนักศึกษาของม.ออตตาวา

"เดี๋ยวลองถามหนุ่มคนนี้ดูดีกว่า" "X'cuse me, could you please tell me where Carleton Youth Hostel is?"

"Over there" หนุ่มหน้าตาดีคล้ายคีอานู รีฟส์ ชี้ไปที่ตึกรูปร่างหอคอยเก่าๆ ฝั่งตรงกันข้าม



View Larger Map

สิบนาทีต่อมาผู้เขียนก็มายืนอ่อนระโหยพร้อมกับแสดงหลักฐานการจองที่พักให้พนักงานหน้าโต๊ะจองห้องพักของ Carleton Youth Hostel สักครู่พนักงานก็ส่งกุญแจห้องพร้อมผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน มาให้ผู้เขียน

ถึงตรงนี้แล้วคงต้องเล่าเกี่ยวกับลักษณะและระเบียบการเข้าพักที่บ้านพักเยาวชนเพื่อให้บางท่านที่อาจจะยังไม่เคยใช้บริการได้เห็นภาพสักหน่อย คือมาตรฐานห้องพักของบ้านพักเยาวชนในเกือบทุกที่เนี่ย จะเป็นห้องพักรวมประมาณ 6-8 เตียง ในห้องพักก็จะมีล็อกเกอร์ไว้เก็บสัมภาระของผู้มาพักในแต่ละเตียง ซึ่งผู้เข้าพักต้องนำกุญแจมาเอง สำหรับห้องอาบน้ำและห้องน้ำก็จะเป็นห้องน้ำรวมแยกหญิงชาย บางที่ก็จะดีหน่อยในแต่ละห้องพักก็จะมีห้องน้ำในตัวไว้ให้บริการเฉพาะคนที่พักอยู่ในห้องนั้นๆ แต่บางที่ห้องน้ำก็จะแยกออกมาต่างหาก ผู้พักจากทุกๆ ห้องก็มาใช้รวมกัน นอกจากนั้นก็มีบริการห้องครัวไว้สำหรับคนมาพักทำอาหารกินเองได้ เหล่านี้คือสิ่งอำนวยความสะดวกหลักที่ทุกบ้านพักเยาวชนจะจัดไว้ แต่บางที่อาจจะหรูขึ้นมาสักนิด ก็จะมีทางเลือกให้ผู้เข้าพักที่ชอบความเป็นส่วนตัวก็จะมีเป็นห้องเดี่ยว ห้องคู่ อะไรทำนองนี้ แต่ราคาค่าห้องก็จะสูงขึ้นมาอีก บางที่ก็จัดส่วนสันทนาการให้คนเข้าพัก เช่น ห้องดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ฯลฯ

นอกจากนี้ผู้เข้าพักมีหน้าที่ในการปูที่นอนเอง บางที่ใจดีหน่อยก็ไม่คิดค่าผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่ม แต่บางที่ก็เขี้ยวคิดค่าเช่าผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มเพิ่มเติมจากคนเข้าพักด้วย แต่โดยสรุปแล้วบ้านพักเยาวชนมีค่าใช้จ่ายที่ถูกมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับค่าพักโรงแรมประเภทหนึ่งดาวสองดาวอะไรเงี้ย เพราะตอนสมัยนั้นรู้สึกว่าผู้เขียนจ่ายค่าที่พักแบบนี้คิดเป็นเงินไทยแล้วเฉลี่ยตกคืนละหกร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง สุดแสนจะถูก และยิ่งเป็นช่วงหน้าหนาวแบบนี้ด้วยราคาก็ถูกลงมาอีก

ทีนี้ย้อนกลับมาเล่าเรื่องลักษณะของบ้านพักเยาวชนที่มีชื่อว่า Carleton กันดีกว่า เมื่อสักครู่ได้เกริ่นไปบ้างแล้วว่า บ้านพักเยาวชนแห่งนี้มีรูปทรงเป็นหอคอยลักษณะเก่าๆ เหมือนปราสาทในยุคโบราณ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีหอคอยแห่งนี้มีชื่อว่า Carleton County Gaol หรือแปลเป็นไทยก็คือ "คุกแห่งคาลีตันเคาน์ตี" นั่นเอง



รู้สึกตอนนี้เริ่มมีเสียงหมาหอนมาตามลมหน่อยๆ พร้อมกับขนที่แขนชักลุกขึ้นมาน้อยๆ แล้ว ตามประวัติเขาเล่ากันว่าคุกแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1862 (ถ้านับมาถึงปีที่ผู้เขียนเข้าพักคือ ปี 2000 ก็ 138 ปีผ่านมาแล้ว) รูปทรงอาคารเขาบอกว่าเป็นแบบจอร์เจียนสไตล์ (เป็นยังไงก็ไม่รู้) และเขาก็ยังบอกอีกว่าช่วงเวลานั้นสภาพของคุกคาลีตันแห่งนี้มีสภาพที่แย่มากสำหรับผู้ต้องขังไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กและคับแคบ ไม่สะอาด หน้าหนาวก็ไม่มีสิ่งที่จะทำความอบอุ่น อากาศก็ไม่ปลอดโปร่ง จนในที่สุดคุึกแห่งนี้ก็ปิดตัวลงเมื่อปี ค.ศ.1972 และได้โอนให้เป็นสมบัติของ Canadian Youth Hostel Association เพื่อเริ่มเปิดเป็นบ้านพักเยาวชนแก่นักท่องเที่ยวในเดือนสิงหาคมในปีถัดมาคือปี ค.ศ. 1973

เขาในที่นี้ก็คือแผ่นพับข้อมูลบ้านพักเยาวชนแห่งนี้ที่ผู้เขียนหยิบติดมือมาด้วยจากโต๊ะของพนักงานต้อนรับ ซึ่งผู้เขียนนำมานอนอ่านหลังจากที่ไ้ด้อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว มิน่าห้องพักของผู้เขียนมันถึงหน้าตาเป็นซี่ลูกกรงแบบนี้ ลองดูซิ




โดยภายในยังคงรูปลักษณ์เดิมแบบคุกทุกอย่าง เพียงแต่ปรับปรุงเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมา เช่น ติดตั้งเครื่องฮีทเตอร์อะไรประมาณนั้น

"อืม สิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นคุกมีอายุถึง 138 ปี แล้วยังไงอ่ะ มันจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ในนี้บ้าง" ผู้เขียนนึกในใจ

"Do you believe in ghosts?" เสียงของคนที่พักห้องเดียวกันกับผู้เขียนถามขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของผู้เขียน "I just joined them for jail tour last night, it's so exciting, and lots of spooky stories." สาวฝรั่งที่เป็นรูมเมทเพียงคนเดียวของผู้เขียนยังคงเล่าเจื้อยแจ้วให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อคืนที่แล้วเธอเพิ่งเข้าไปร่วมทัวร์เพื่อไปตามล่าหาวิญญาณในคุกเ่ก่าแห่งนี้ ถ้าจะว่าไปสาวคนนี้แกก็คงเหมือนแฟนคลับพี่ป๋อง กพล ทองพลับบ้านเรา ที่ชอบไปพิสูจน์หาวิญญาณตามบ้านร้างอ่ะนะ แต่ตัวผู้เขียนมันไม่ใช่สักหน่อย "หลงเข้ามาแท้ๆ เลยเรา ทำไมไม่หาข้อมูลก่อนว่าแต่ละที่มันเป็นมายังไง" ผู้เขียนบ่นตัวเองในใจ

"แล้วจะหลับลงหรือเปล่าเนี่ย ชักกลัวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว สวดมนต์ภาษาเราผีฝรั่งมันจะฟังรู้เรื่องเร้อ สาธุ อย่าปวดฉี่กลางดึกเลย ไม่อยากออกไปเข้าห้องน้ำข้างนอกกลางดึกอ่ะ" ผู้เขียนนึกคิดไปเรื่อยเปื่อย ความกลัวผีชักเกิดขึ้นตะหงิดๆ พร้อมกับนึกเคืองสาวฝรั่งเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาซะยังงั้น




Photos Credit: http://www.yhaschooltrips.org.uk/assets/images/Snapshots/HI-orange%20circle.jpg, google map, http://www.carletoncountygaol.com/content/history/history.shtml

ไม่มีความคิดเห็น: