วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 1: เดินทางแบบนักธุรกิจจากกทม. สู่อุดรธานี)


วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552

หลังจากผ่านวันวาเลนไทน์มาสองวัน ก็ได้ฤกษ์มาเขียนบล็อกอีกครั้งหนึ่งหลังจากห่างหายไปนาน อันเนื่องมาจากภารกิจส่วนตัวและชาติบ้านเมือง


อาทิตย์ที่ผ่านมาช่วงวันหยุดยาวในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนาคือมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันจาตุรงคสันนิบาตคือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ชาวเรานับรวมได้ 6 ชีวิตซึ่งเป็นข้าราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน (ซึ่งเป็นตัวผู้เขียนเอง) เห็นว่าควรจะได้ดำรงตนเป็นพุทธมามกะที่ดีด้วยการเดินทางไปประเทศลาว เพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียวปั้นแด่พระสงฆ์ที่เมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง (ที่จริงเปล่าหรอก กำหนดการนี้คิดล่วงหน้ามาเป็นเดือนแล้ว จนร่ำๆ ว่าอาจจะมีการยกเลิกแผนการเดินทางจากมวลหมู่สมาชิก)


จนกระทั่งถึงเวลา deadline ก็ต้องรีบจองตั๋วเดินทางแล้ว (เปลี่ยนใจไม่ได้และ เนื่องจากถูกป้าสมศรีมัดมือชกให้รีบจองตั๋วเครื่องบินประเภทตั๋วรางวัลตัดแต้มจากหมายเลข Royal Orchid Plus) อ้อ ลืมเล่าไปว่าคณะเดินทางประกอบไปด้วย พี่สมศรี ป้าสมศรี หรือป้าศรี(เนี้ยเป็นคนๆ เดียวนะจ๊ะ แล้วแต่อารมณ์ว่าจะใช้สรรพนามอะไรเรียกแกดี) พี่นิ (พี่เขาทำงานฝ่ายเดียวกันกับป้าสมศรี) พี่หวาด (บางครั้งก็เรียกแกว่าพี่สวาทศรี แต่ชื่อจริงแกพราะเชียวนาชื่อคุณสุนทรีพร) พี่อ้อย ซึ่งก็ทำงานห้องเดียวกันกับพี่หวาด มากันเป็นคู่เลยแหะ พี่วัฒน์ และก็ผู้เขียนเอง รวมกันเป็น 6 คน


แต่ถึงขนาดรีบยังไงก็ตามผู้เขียนเองไม่ได้นั่งชั้นประหยัดเหมือนกับพี่นิ และป้าศรีเพราะเต็มหมด ก็เลยต้อง up มาเป็นชั้นธุรกิจ (แหมครั้งแรกเลยนะเนี่ย เอาก็เอา)


พอมาถึงเวลา 16.30 น. ของวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 ก็ได้เวลามาเจอพี่เขาที่ใต้ตึก โดยคนที่จะเดินทางไปทางเครื่องบินนั้นจะมีแค่ 3 คน มี พี่นิ ป้าศรีและผู้เขียน ส่วนสมาชิกอีก 3 คนที่เหลือเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งจะออกช่วงดึกของคืนนั้น เนื่องจากพวกพี่ๆ เขาต้องรอพี่วัฒน์ที่จะเดินทางกลับมาจากการทำงานที่นครสวรรค์ (เห็นไม๊ว่าข้าราชการยุคนี้ไม่ใช่เช้าชาม เย็นชามนา ดูสิยังทำงานจนหยดสุดท้ายก่อนไปเที่ยวอีกแน่ะ อิอิ)


ตะนี้ในช่วงนี้ก็ต้องเล่าเฉพาะการเดินทางของ 3 คนแรกที่เดินทางโดยเครื่องบินก่อนนะจ๊ะ โดยมีการนัดแนะกันกับสมาชิก 3 คนหลังว่า ถ้าลงที่สถานี บขส. จังหวัดอุดรฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ให้พี่วัฒน์โทรหาและหาสถานที่ที่จะพบกันในการเดินทางเข้าประเทศลาว ซึ่ง 3 คนแรกอาจจะพักรออยู่ที่โรงแรม อ้อ ลืมเล่าไปนิดว่าพี่นิเป็นผู้ที่เตรียมตัวดีมาก ซึ่งอาจมีป้าศรีช่วยด้วยบ้างปะไม่แน่ใจ โดยพี่เขามีการหาข้อมูลจากทาง internet เรื่องโรงแรม และก็ข้อมูลของลาวมาด้วย


พี่นิ ป้าศรี และผู้เขียนเดินทางไปดอนเมืองด้วยกันเพื่อจะรอขึ้นเครื่องไปอุดรฯ แหมและก็นะตอนที่นั่งแท๊กซี่นะ คนขับกับผู้โดยสารคุยกันถูกคอเลยเชียวเรื่องไปเที่ยวลาวเนี่ย พอรู้ว่าเราจะไปลาวพ่อคนขับให้ข้อมูลใหญ่เลยเรื่องประเทศลาว เพราะตัวแกเองเคยไปทำงานในลาวมาพักนึงเลยมีประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดให้พวกเราบ้าง ซึ่งก็มีประโยชน์อยู่ ยังไงก็ขอบคุณมา ณ ที่นี้ หวังว่าคงไม่ใช่แท๊กซี่ นปก. นะ เอิ๊ก เอิ๊ก :)

กำหนดการจริงเครื่องต้องออกประมาณ 6 โมงเย็นเศษๆ นิดหน่อย แต่เครื่องต้อง delay ออกไปประมาณทุ่มกว่าหรือประมาณเนี้ย (แต่เผอิญช่วงบ่ายการบินไทยโทรมาบอกว่าเครื่องจะ delay อะนะ อันนี้ไม่ว่ากัน) พอไปถึงดอนเมือง check in เสร็จก็เข้าไปเลย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเวลาท้องหิวและเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้คุ้นชินกับจารีตและวัฒนธรรมของประเทศที่เราจะไปเยือน ป้าศรีแกก็จัดแจงควักถุงไก่ทอด พร้อมข้าวเหนียว(ไม่ใช่ KFC นะ ไก่ทอดขายที่หน้าที่ทำงานน่ะแต่เขาทอดอร่อยดีนะ เป็นเพราะน้ำมันที่ใช้ทอดดำหรือเปล่าเลยอร่อย 555) ป้าศรีแจกจ่ายไก่ทอดและข้าวเหนียวให้สมาชิกสองคนที่เหลือ พร้อมร่วมกันจกข้าวเหนียวกันด้วยความครื้นเครงในท่าอากาศยานดอนเมืองนั่นแล (ลืมถ่ายรูปตอนกินมาประกอบ มีแต่รูปพี่สองคนตามที่ up ไว้ข้างบน พี่นิคนซ้าย ป้าศรีคนขวา)
หลังจากอิ่มแล้ว ก็มีประกาศการบินไทยว่าเครื่องจะ delay เป็นสองทุ่มกว่า (เซ็งเลย ยังไงก็ต้องรอ) พอได้เวลาคราวนี้ไม่เลื่อนแล้ว ได้ขึ้นซะะที แหมได้นั่งชั้นธุรกิจอย่างโก้เลยเรา จะเสริฟน้ำ อาหารว่างแต่ละทีพิธีรีตรองมากกว่าชั้นที่เคยนั่ง เบ็ดเสร็จใช้เวลาเดินทางประมาณ 55 นาทีก็มาถึงอุดรฯ โรงแรมที่เราจะพักชื่อ N.B. โดยพี่นิโทรให้โรงแรมจัดรถมารับ ช่วงนี้เดินทางแบบ hi ดีจริงๆ พอมาถึงโรงแรม check in นำของไปเก็บเสร็จ ก็ออกมาหาอาหารรอบค่ำกิน เพราะระหว่างนั่งรถมาโรงแรมเห็นร้านอาหารข้างทางหลายร้านเหมือนกัน เดินมาเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระร้านหนึ่งมีคนกินเยอะมาก หลังจากซาวเสียงของสมาชิกเลยเห็นดีด้วยกันที่จะกินก๋วงเตี๋ยวร้านนี้ เพราะจากประสบการณ์นักกินของพี่นิ เห็นว่าร้านไหนมีคนกินเยอะแสดงว่ารสชาดต้องดี
จากนั้นเราสามคนสั่งกันมาคนละชาม รสชาดเป็นไปตามที่พี่นิตั้งสมมติฐาน ถูกใจพวกเรามาก โดยเฉพาะป้าศรี หลังจากนั้นเรามารู้ว่าเราเป็นสามชามสุดท้ายที่เขาขาย เพราะมีคนมาสั่งต่อจากเราแล้วคนขายบอกว่าหมดแล้ว เกือบไม่ได้ชิมของอร่อยแล้วนะเนี่ย จากนั้นเราก็เดินทางกลับโรงแรมเพราะเหนื่อยและดึกเกินไปที่จะไปไหนต่อแล้ว
ราตรีสวัสดิ์สำหรับตอน 1 เจอกันใหม่ตอน 2 ตอนเข้าเวียงจันทน์นะจ๊ะ


ไม่มีความคิดเห็น: