วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 3: เวียนหัวจากเวียงจันทน์ยันวังเวียง)















และแล้วเราก็มาถึงเวียงจันทน์เมื่อประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 7 กุมภาพันธ์ บรรยากาศโดยทั่วไปของบริเวณขนส่งคล้ายๆ กับสถานีขนส่งในต่างจังหวัดของไทย นอกจากนั้นก็จะมีผู้คนที่ประกอบอาชีพให้บริการรถตู้ รถเช่า สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ เดินเข้ามาถามนักท่องเที่ยวว่าจะใช้บริการหรือเปล่า เท่าที่สังเกตคนที่ประกอบอาชีพนี้มีจำนวนมากเลย เพราะทันทีที่รถเข้าเทียบสถานี คนเหล่านี้ก็จะกรูมาทีเดียว ไม่ยกเว้นกลุ่มเราด้วย ทีแรกมีหนุ่มลาวคนหนึ่งเข้ามาถามกลุ่มเราว่าจะไปไหนต่อ พี่นิในฐานะหัวหน้าคณะกลายๆ เพราะเป็นผู้หาข้อมูลการเดินทางมามากที่สุด ตอบหนุ่มคนนั้นไปว่าจะไปวังเวียง หนุ่มคนนั้นเลยเสนอรถตู้ให้เรานั่งไปโดยคิดค่าเดินทางคนละ 350 บาท และอาจจะมีผู้โดยสารคนอื่นนั่งไปด้วยเพราะคณะเรามีแค่ 6 คน ในขณะที่รถตู้มีที่นั่งสำหรับ 12 คน และรถจะออกเวลาช่วงเกือบเที่ยง

พวกเราก็เลยหันหน้ามาปรึกษาหารือว่าจะคิดอ่านกันประการใดดี จะรับข้อเสนอของหนุ่มลาวนั้นไม๊ (แหมถ้าเป็นข้อเสนอขอสาวสาวกลุ่มเราแต่งงาน คงไม่มีใครคิดนานอย่างนี้หรอก คงตอบรับไปเลยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา อิอิอิ ลืมบอกไปว่ากลุ่มเราเป็นผู้ใช้คำนำหน้านามว่านางสาวกันทุกคนเลย แต่ละคนใสปิ๊งถึงแม้อายุอานามจะขึ้นเลข 5 กันไปแล้ว ยกเว้นผู้เขียนนะเป็นเด็กที่สุดในกลุ่มจ้า และไม่ค่อยเป็นสุภาพสตรีเท่าไหร่) หลังจากหารือกันพักใหญ่เราก็ได้ข้อสรุปว่าน่าจะรับข้อเสนอขอแต่งงาน เอ้ย ไม่ใช่ ข้อเสนอการจัดรถตู้ของหนุ่มลาวคนนั้น เพราะถึงแม้จะไม่ตรง concept ที่พวกเราตั้งไว้แต่แรกว่าจะเป็นการเดินทางแบบเป้สะพายหลัง (ก็ backpack ไง) โดยจะต้องเดินทางแบบไปตายเอาดาบหน้าและต้องประหยัด เช่น การนั่งรถบัสสาธารณะ อะไรเงี้ย แต่เมื่อคณะเรามาคิดคิดดูแล้ว คิดว่านั่งรถบัสไปวังเวียงท่าจะไม่ได้การคงใช้เวลานานมากกว่าจะถึง และคงสะบักสะบอมไปซะก่อนถึงหลวงพระบาง และแต่ละคนดูแล้วอาจจะ backpack ไม่ไหวโดยเฉพาะป้าศรี เอาก็เอา พอเราตอบรับข้อเสนอเท่านั้นละหนุ่มลาวนั่นกุลีกุจอนำสัมภาระเราไปฝากไว้ที่ร้านขายเครื่องดื่มใกล้ๆ กัน และก็นัดแนะกับพวกเราเป็นดิบดีว่า รถจะออกเวลาก่อนเที่ยงนิดหน่อย ระหว่างนี้ให้เราไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงกันข้ามกับขนส่ง ซึ่งห้างนี้เป็นห้างเดียวในเวียงจันทน์ พวกเราก็เลยไปหาอาหารกลางวันกินกันที่ห้างนี้แหละ มี food court อยู่ชั้น 3 แต่อาหารไม่ค่อยจะถูกปากเท่าไหร่ ถึงแม้จะเป็นอาหารคล้ายๆ ของไทยก็ตามที เสร็จสรรพดีแล้วเราก็เดินข้ามถนนมาที่ขนส่งเพื่อมาเจอหนุ่มคนนั้นอีกทีเพราะได้เวลานัดแล้ว

พอมาถึงอาการเริ่มต้นของความวิงเวียนก็เกิดขึ้น เมื่อหนุ่มคนนั้นบอกว่า คงจะเดินทางไปตามกำหนดนัดเดิมไม่ได้ เนื่องจากแอร์ในรถเสีย ต้องไปซ่อมแอร์ก่อน คาดว่าประมาณเที่ยงครึ่งน่าจะซ่อมแอร์เสร็จและถึงจะพาเราเดินทางไปได้ ความเวียนหัวและความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาเยือนทุกคนเนื่องจากเราจะเสียเวลาออกไปอีก และที่จริงเราก็อยากให้ถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เรากำหนดไว้ให้เร็วที่สุดจะได้มีเวลาเที่ยวนานนาน ดังนั้นพี่นิกับผู้เขียนเลยคุยกันว่าจะทำไงต่อดี จะคอยไม๊หรือจะหารถจากเจ้าอื่น ซึ่งคราวนี้ผู้เขียนเองก็เลยกางหนังสือที่อุตส่าห์ถือไปจากกทม. เรื่อง "ไปเองได้ จ่ายน้อยกว่า เที่ยวมากกว่า ไสตล์พี่วุฒิกับพี่เคท" ตอนไปเที่ยวลาว เป็นหนังสือดีมาก มีรายละเอียดทุกอย่างของการเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเอง (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะ)

ผู้เขียนก็เลยลองเปิดหน้าที่พี่วุฒิกับพี่เคทให้ข้อมูลเรื่องการหารถจากเวียงจันทน์ไปวังเวียง ก็ได้ความว่าสองสามีภรรยานั้นใช้บริการจากผู้ให้บริการรถเช่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับให้ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเสร็จสรรพ พี่นิกับผู้เขียนก็เลยลองโทรติดต่อตามหมายเลขที่หนังสือบอกไว้ ปรากฎว่าเขายกเลิกหมายเลขไปซะแล้ว และที่เงี้ยทำไง และก่อนที่เราจะต้องรออย่างไม่มีความหวังอยู่นั้นเอง ก็มีหนุ่มลาวหน้าตาใสซื่อคนหนึ่งเดินเข้าทักพี่นิกับผู้เขียนว่าจะไปไหน เราสองคนเลยบอกจุดหมายของเราทันที ซึ่งหนุ่มลาวเสนอว่าเขามีบริการเป็นมินิแวนเหมาะสำหรับจำนวนสมาชิกกลุ่มเราพอดี โดยเขาคิดค่าบริการเหมาเป็นวันๆ ละ 3,500 บาท รวมค่าน้ำมันด้วย ซึ่งในแต่ละวันเราจะให้เขาพาไปไหนก็ได้ และจะไปถึงหลวงพระบางก็ได้ สำหรับคนขับนั้นขอให้กินอยู่กับเราเท่านั้นเอง พี่นิกับผู้เขียนเลยกลับมาปรึกษาสมาชิกที่เหลือซึ่งทั้งหมดเห็นชอบด้วย เพราะคิดดูแล้วน่าจะคุ้มค่ากว่าใช้บริการรถตู้แบบรายเที่ยวตามที่เราติดต่อหนุ่มลาวคนแรก และมีความเป็นส่วนตัวดี ดังนั้นกลุ่มเราจึงตอบตกลงกับหนุ่มลาวคนที่สองทันที ซึ่งถัดมาอีกไม่นานก็มีรถมินิแวนพร้อมคนขับมารับเราออกไปจากสถานีขนส่ง และปล่อยให้หนุ่มลาวคนแรกมองตามเงินจำนวน 2,100 บาทหายวับไปกับสายตา โดยต่อมาพี่นิวิเคราะห์ว่าที่หนุ่มลาวคนแรกบอกว่าแอร์ในรถเสียนั้นคงจะไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นเพราะเขายังจัดสรรคิวรถไม่ลงตัว เพราะคนเหล่านี้เป็นนายหน้าจัดคิวรถไม่ใช่เจ้าของรถ พวกเราก็อือออเห็นด้วย เพราะตอนนี้อาการวิงเวียนหายไปความสดใสเข้ามาแทนที่เพราะได้ออกมาจากสถานีขนส่งแล้วนี่ ดังนั้นอะไรๆ ก็ดูดีไปหมด อิอิอิ พอคนขับขับไปได้สักพักเขาบอกพวกเราว่าตัวเขาเองนั้นไม่ใช่คนที่จะพาเราไปตลอดการเดินทางนี้หรอก เขาจะพาเราไปขึ้นรถอีกคันหนึ่งซึ่งใหม่กว่าของเขาอีก และคนขับรถคันนี้ชำนาญเส้นทางที่จะไปวังเวียงและหลวงพระบางซึ่งเป็นเทือกเขาดีเสียด้วย (อะแฮ้ม พระเอกของเราใกล้ออกมาปรากฏตัวแล้ว)

ต่อมาเขาก็พาเรามาสถานที่ที่จะเปลี่ยนรถ เราก็เห็นรถมินิแวนคันสีเขียว (อือ ดูใหม่ดีจริงๆ ด้วย) ซึ่งจะเป็นยานพาหนะพาเราไปท่องเที่ยวตลอด 4 วันนี้ พอขึ้นรถได้เสร็จสรรพ พวกป้าๆ ก็สัมภาษณ์ถามชื่อแซ่คนขับทันที ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาชื่อ "บุญ" (ดูรูปประกอบนะจ๊ะ บุญและภรรยาของบุญถ่ายวันสุดท้ายในวันที่เราจะกลับไทยแล้วละ) เอาละบุญ ต่อไปนี้ก็ทนรำคาญเสียงนกกระจอกหน่อยนะ อิอิอิ

เท่าที่ผู้เขียนสังเกต บุญเป็นคนขับรถประเภทขับเป็น ไม่ใช่ขับได้เหมือนคนจำนวนมากในกรุงเทพฯ ขับเป็นคือคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางที่ใช้รถใช้ถนน ดูเขาไม่ประมาท อันนี้ก็ขอชม อ้อ และก็ขอชมคนขับคนแรกที่พามาพบว่าบุญด้วยว่า เป็นคนซื่อตรงที่ยอมรับว่าตัวเองไม่มีความชำนาญเส้นทางดังนั้นขอให้เพื่อนขับไปแทน
และแล้วบุญก็พาคณะเรามาถึงวังเวียงเมื่อประมาณบ่ายสามโมง ซึ่งตลอดทางผู้เขียนยอมรับว่ามีอาการวิงเวียนตลอดจากอาการเมารถ เพราะขับขึ้นเขาวกไปวนมา เห็นท่าคราวหน้าต้องนั่งข้างหน้าซะแล้ว
เจอกันตอนหน้าจ้า ว่าคณะเดินทางกลุ่มนี้จะทำอะไรกันบ้างที่วังเวียง

ไม่มีความคิดเห็น: