วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 5: ไปหลวงพระบางสุดสุขีต้องไปกับทัวร์ฉี่)



หลังจากเมื่อคืนก่อนอิ่มหนำสำราญกับอาหารเย็นแซ่บหลาย (ชื่อร้านจำไม่ได้) ในตัวเมืองวังเวียงแล้ว เช้านี้ทำให้พี่วัฒน์และผู้เขียนตื่นขึ้นมาแต่เช้าพร้อมๆ กัน (เราสองคน share ห้องกัน) เนื่องจากท้องคงร้องเรียกอยากกินอะไรหรอยอีก (ตรรกะนี้ใช้ได้กับผู้ที่ชอบอาหารการกินเท่านั้น)

ในขณะที่เพื่อนร่วมทางอีก 4 คน ยังคงนอนอยู่ในห้อง เราสองคนลงความเห็นกันว่าน่าจะเดินออกไปนอกเฮือนพัก เพื่อไปดูบรรยากาศยามเช้าของวังเวียงก่อนที่สายๆ เราจะเดินทางไปหลวงพระบาง ซึ่งในเวลาต่อมาเราสองคนก็ออกมาชมบรรยากาศยามเช้าที่ลานหน้าเฮือนพักที่เป็นสนามบินเก่าของเมืองวังเวียง ซึ่งตาม

ประวัติสนามบินแห่งนี้อเมริกาเป็นคนสร้างสมัยที่มีสงครามในประเทศลาว น่าจะเป็นช่วงยุคสงครามเย็นหรือเปล่าที่ช่วงนั้นเป็นการแข่งขันของสองเจ้าลัทธิคือฟากฝั่งเสรีโดยอเมริกาและฝั่งคอมมิวนิสต์คือสหภาพโซเวียต ก็น่าจะเป็นช่วงที่ผู้เขียนอายุประมาณ 10 ปี อยู่ชั้นประถม เพราะจำได้ว่าเช้าๆ เนี่ยตอน


เคารพธงชาติเสร็จ ที่โรงเรียนจะเปิดเพลงปลุกใจประกอบการออกกำลังกายของเด็กนักเรียน เนื้อเพลงเหมือนจะขึ้นต้นว่า "ไทยรวมกำลังตั้งมั่น จะสามารถป้องกันขันแข็ง ถึงแม้ว่าศัตรูผู้มีแรง มายุทธ์แย่ง ก็จะปลาตไป ขอแต่เพียงไทยเราอย่าผลาญชาติ ร่วมชาติ ร่วมจิตเป็นข้อใหญ่ ไทยอย่ามุ่งร้ายทำลายไทย จงพร้อมใจ พร้อมกำลัง ระวังเมือง ให้นานาภาษาเขานิยม ชมเกียรติยศ ฟูเฟื่อง ช่วยกันบำรุงความรุ่งเรือง ให้ชื่อไทยกระเดื่องทั่วโลกา ช่วยกันเต็มใจ ใฝ่ผดุง บำรุงทั้งชาติ ศาสนา ให้อยู่จนสิ้น ดินฟ้า วัฒนาเถิดไทย ไชโย"(ไม่รู้ว่าเพลงนี้ใครเป็นคนแต่ง มีข้อสังเกตอยู่อย่างทำไมในเนื้อเพลงบำรุงแค่ชาติ กับศาสนา แล้วพระมหากษัตริย์ละ คนเขียนเพลงนี้ลืมไปเหรอ ใครรู้ช่วยบอกที)

น่าแปลกที่ยังจำมาได้ถึงบัดนี้ทั้งๆ ที่เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าผู้ใหญ่ชอบพูดเรื่องคอมมิวนิสต์ให้เด็กๆ อย่างเราฟัง เล่าให้เราเห็นภาพซะว่าระบบการปกครองคอมมิวนิสต์เนี่ยเหมือนปีศาจร้าย ถ้าประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์เนี่ยเด็กๆ อย่างเราต้องตกระกำลำบาก ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ต้องปันข้าวกิน อะไรทำนองเนี้ย ในสมัยนั้นคนไทยกลัวกันมากกับคำทำนายของพวกฝรั่งเกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนว่าประเทศไทยจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ต่อจากประเทศเพื่อนบ้านที่โดนกระแสโดมิโนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ล้มจนราบคาบแล้ว ซึ่งรวมทั้งลาวด้วย

แต่พอเราโตขึ้นมาได้ผ่านประสบการณ์อะไรมา และแถมยังได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาก็เห็นว่าสิ่งที่เราได้รับรู้มาสมัยตอนเด็กๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราจินตนาการ อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปทำให้ระบอบอะไรอย่างนั้นต้องลดความเคร่งครัดลงมา เช่น ที่จีน เป็นต้น (ยกเว้นที่เกาหลีเหนือกับคิวบา หรืออาจจะมีอีกหลายประเทศที่ประชาชนยังตกอยู่ในเงามืดแห่งความหวาดกลัวผู้นำคอมมิวนิสต์) แต่ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าชื่นชมอะไรกับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์นะ ถ้าไปดูข้อเขียนแรกจะเห็นได้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่รักและเทิดทูนในหลวง ดังนั้นเจตนารมย์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเป็นคนยึดมั่นในระบบกษัตริย์อย่างแน่นอน เป็นข้าราชการของในหลวง :) เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าบางสิ่งบางอย่างที่เป็นจุดแข็งหรือจุดดีเราอาจมาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมหรือกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าจะพูดให้ชัดคือถ้าเราพูดถึงคอมมิวนิสต์เราจะนึกถึงระบบผูกขาดในเชิงการเมืองโดยผู้ปกครอง ในขณะที่โลกเสรีให้สิทธิทางการเมืองแก่ผู้ถูกปกครอง ตามความคิดของผู้เขียนประเทศไทยเราก้าวกระโดดข้ามขั้นไปหลายขั้นทีเดียว เราไม่มีโอกาสได้ก้าวเดินอย่างช้าๆ และก็ชมนกชมไม้ ค่อยๆ นำพาประเทศไปในวิถีที่ควรจะเป็น ที่เห็นได้ชัดคือเราไม่ได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนให้เข้าใจสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นบ้านเมืองก็เลยยังถูลู่ถูกังอย่างที่เห็นกันอยู่ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีความพร้อมดังนั้นถ้าช่วงปี 2475 การปกครองกึ่งๆ ผูกขาดจากผู้ปกครองที่มีทศพิธราชธรรมแบบราชาธิปไตยยังคงใช้อยู่ บ้านเมืองอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นก็ได้ อ้อ ข้อสังเกตอีกอย่างนึงคือเนื้อเพลงปลุกใจเพลงนี้น่าจะยังคงร่วมสมัยอยู่ เพราะปัจจุบันนี้เรายังคงมีคนผลาญชาติที่ใส่เสื้อแดง

พูดเรื่องการบ้านการเมืองมาซะเยอะเชียว ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะพูดแค่ที่มาที่ไปของสนามบินเก่า :) วกกลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า พอเห็นบรรยากาศช่วงเช้าแล้ว รู้สึกดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ได้พบเจอกับความประพฤติที่น่ารังเกียจของฝรั่งที่แม่น้ำซองเมื่อเย็นวาน เช้าวันนี้มีเสียงไก่ขัน มีน้ำค้างและอากาศเย็นนิดหน่อย ตรงท้องถนนข้างหน้าลานสนามบิน นานนานจะมีรถผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถโดยสารที่น่าจะไปทางหลวงพระบาง ได้ยินมาว่ามีรถจากเวียงจันทน์วิ่งไปหลวงพระบางช่วงกลางคืนด้วย ถ้าใครสนใจจะเดินทางไปหลวงพระบางช่วงกลางคืนเพื่อประหยัดเวลาก็คงต้องตรวจสอบกัน แต่ถ้าถามใจผู้เขียนน่าจะเดินทางช่วงกลางวันดีกว่าเพื่อความปลอดภัย

มองเข้าไปในบางบ้านเห็นควันลอยออกมา ทำให้รู้ว่าแม่บ้านกำลังหุงหาอาหารให้คนในครอบครัว บรรยากาศแบบนี้ทำให้จิตใจสงบ นิ่ง เย็น มันไม่เหมือนกับทุกๆ เช้า ที่เราอยู่ในกรุงเทพฯ ตื่นตั้งแต่ตีห้า ต้องรีบร้อนทำกิจกรรมส่วนตัวให้เสร็จ ออกจากบ้านก่อน 6 โมงครึ่ง ไม่งั้นอาจจะไปทำงานสายได้ ออกมาแล้วยังต้องผจญกับรถติด ฝุ่นควันสารพัด ทำให้เราไม่มีโอกาสสำรวจจิตใจตนเอง ใจเราเพริดไปกับสถานการณ์รอบข้าง แต่พอมาเที่ยวที่นี่แล้วเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง สงบเงียบ ธรรมชาติสวย ที่วังเวียงนี้มีคนมากมายเปรียบเทียบว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองลาว หรือบางคนก็บอกว่าเป็นปายของเมืองลาว สำหรับผู้เขียนแล้วคงจะพูดประโยคแบบนั้นไม่ได้เพราะไม่เคยเดินทางไปทั้งกุ้ยหลินและอำเภอปาย แต่ที่แน่แน่ขณะนี้กำลังชื่นชอบบรรยากาศของวังเวียงตอนเช้าเสียเหลือเกิน



เราสองคนเดินเล่นอยู่ในเมืองพักใหญ่ เริ่มเดินตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มโผล่ที่ริมขอบฟ้าเป็นแสงสีส้มสวยเหมือนเสื้อผู้เขียน (คืออยากจะ hint ว่าไม่ได้ใส่เสื้อสีแดงนะ เพราะตอนนี้ไม่ชอบสีแดง 555) ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับที่พักได้แล้ว พอเราสองคนมาถึงก็เจอกับพี่ๆ อีก 4 คนที่หน้าเฮือนพัก ก็เลยชักรูปกันหน่อยเป็นที่ระลึก จากนั้นเราก็มีความเห็นตรงกันว่าสมควรแก่เวลาของอาหารเช้าแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ก็เลยบอก "บุญ" ว่าช่วยพาไปร้านอร่อยๆ หน่อย บุญก็เลยขับรถพาไปในเมืองวังเวียงซึ่งก็ใช้เวลานิดเดียวเพราะเมืองเขาเล็กๆ ร้านอาหารก็เป็นเรือนแถวติดๆ กัน ขายอาหารเหมือนกันคือ"ข้าวเปียก" (โจ๊กบ้านเราน่ะละ) และก็ "เฝอ" ซึ่งมีทั้งหมู ไก่ เนื้อ

พวกเราเลือกร้านที่มีคนกินเยอะๆ ตาม concept เดิม ในกลุ่มเรามีคนสั่งทั้งเฝอและข้าวเปียก บนโต๊ะก็มีเครื่องปรุง พริกป่น น้ำปลา ซ๊อส ซีอิ้ว สารพัดเหมือนบ้านเราไม่มีผิด พลิกดูฉลากน้ำปลาภาษาไทยหราเลยว่าตราปลาหมึก มองไปรอบๆ สินค้าของไทยทั้งนั้น ตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว จนกระทั่งน้ำดื่มในตู้แช่ กำลังดูอะไรเพลินๆ อยู่ในร้านก็ได้ยินเสียงป้าศรีร้องเอะอะขึ้นมา ก็เลยหันไปดูแก ปรากฏว่าแกใส่ผงชูรสในเฝอแกไปช้อนชาใหญ่ๆ เลยมั้ง ก็เลยมานึกได้ว่ามีคนเคยเตือนมาเหมือนกันว่าที่ลาวนี่เขาชอบใช้ผงชูรสปรุงอาหารมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุป หรืออะไรก็ตาม เราก็ไม่นึกว่าเขาจะมีผงชูรสอยู่ในพวงเครื่องปรุงบนโต๊ะด้วย ป้าศรีแกก็คิดว่าเป็นน้ำตาลเลยใส่ไปซะช้อนเต็มๆ เลยมั้ง ก็เลยขอฝากไว้ว่าหากมากินอาหารที่ลาวแล้วคิดจะตักเครื่องปรุงที่คิดว่าเป็นน้ำตาลให้ดูดีดีเสียก่อนนะจ๊ะ หลังจากนั้นพวกพี่ๆ เขาปิดท้ายอาหารเช้าด้วยกาแฟลาว และโอวัลติน ป้าศรีชักชวนผู้เขียนให้ลองสั่งกาแฟลาวมาชิม บอกว่าอร่อยดี และก็เหมือนเดิมกับที่เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนที่สองว่าผู้เขียนไม่สั่งทั้งๆ ที่เป็นคอการแฟ (ยังไม่เฉลย อิอิอิ)

เสร็จจากอาหารเช้าแล้ว เราก็ต้องเดินดูตลาดเช้าของเมืองวังเวียง บรรยากาศก็เหมือนกับตลาดในต่างจังหวัดบ้านเรา แต่ของที่นี่มีของป่ามาขายมากมาย เช่น ลูกกวาง (เห็นพี่วัฒน์บอกว่าเพิ่งออกมาจากท้องแม่ เพราะขนยังอุยอุยอยู่ น่าสงสารจัง ไม่รู้ตายเองหรือเปล่า) กระรอก ตัวอ้น อะไรยังเงี้ย (ได้แต่ดูเฉยๆ ไม่ได้ถ่ายรูปมาสงสารมัน) ของที่นี่ราคาค่อนข้างแพง (เราคิดว่าเขาขายราคานี้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างถิ่นนะ) ทำไปทำมาเราก็ซื้อได้เฉพาะส้มพื้นเมืองมา 3 กิโล (ก็อร่อยดี)

เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว เราก็กลับไปเฮือนพัก pack กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปหลวงพระบางที่หมายของเราทันที เราออกเดินทางจากวังเวียงไม่สายมากนัก โดยบุญบอกเราว่าน่าจะถึงหลวงพระบางไม่น่าจะเกิน 4 โมงเย็น ถึงแม้ว่าระยะทางจากวังเวียงห่างจากหลวงพระบางประมาณ 210 กิโลเมตร แต่ทางที่เป็นเขาสูงชัน ลูกแล้วลูกเล่า ก็ไม่สามารถทำให้บุญขับรถได้เกิน 70 กม./ชม. อีกอย่างหนึ่งบุญเห็นว่าผู้โดยสารออกจะมีอาการเมารถ โดยเฉพาะผู้โดยสารเบาะหลังคือป้าศรี พี่นิ เจ๊หวาด ก็เลยจำกัดความเร็วให้ไม่เกินนั้น ส่วนผู้เขียนรอดตัวไปเพราะเปลี่ยนที่มานั่งกับพี่อ้อยที่เป็นเบาะข้างคนขับ เพราะได้บทเรียนเมื่อตอนนั่งรถจากเวียงจันทน์มาวังเวียง คราวนี้สบายเลย นั่งชมนกชมไม้มาตลอดทาง





เส้นทางระหว่างวังเวียงถึงหลวงพระบางนั้นเราต้องขับผ่านหมู่บ้านชาวเขาหลายแห่งเลย ก็ได้สังเกตว่าเขานิยมที่จะทำไม้กวาด โดยไปหาต้นไม้กวาด (เขาเรียกกันอย่างนี้หรือเปล่า) มาตีๆ และก็ตาก ลูกเด็กเล็กแดงก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน ลากต้นไม้กวาดมาจากทางที่ไกลๆ มาที่บ้าน บางที่ก็เห็นเด็กชาวเขาเป็นกลุ่มๆ เลย เดินไปโรงเรียน เห็นแล้วก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจถึงความแตกต่างของชีวิตคน ในขณะที่เด็กในสังคมเมืองโดยเฉพาะในบ้านเรา พ่อแม่ต้องประเคนให้ทุกอย่างจนได้ชื่อว่าเป็น helicopter parents ในขณะที่เด็กอีกสังคมหนึ่งเขาต้องดิ้นรนในการใช้ชีวิต จนบางครั้งเด็กที่ได้รับการเอาใจใส่จนเกินเหตุจาก helicopter parents เมื่อประสบกับวิกฤตการณ์ชีวิต ก็ไม่สามารถฝ่าด่านปัญหาได้ เพราะพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ให้ต้องยากลำบาก ดังนั้นเราจึงได้ยินข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำเลยว่า เด็กวัยรุ่นฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังเรื่องความรัก ผลการเรียนตกต่ำอะไรทำนองเนี้ย ผู้เขียนเองตอนเด็กๆ ก็โดนพ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจเหมือนกันนะ เพราะเป็นลูกคนเดียว ดีแต่ว่าสมัยก่อนปัญหาสังคมอาจไม่ซับซ้อนเท่าสังคมยุคใหม่ เลยรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้



ระหว่างทางเราแวะถ่ายรูปเมื่อเห็นว่ามีจุดไหนที่วิวสวย และเรายังผ่านชุมชนเล็กชุมชนน้อย ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเช่น เมืองกาสี นับว่าเป็นการศึกษาสังคมวิทยานอกห้องเรียนที่ดีมากๆ และช่วงเที่ยงๆ เรามาแวะพักรถถึงชุมชนใหญ่ตรงทางแยกที่จะไปทุ่งไหหินกับทางแยกที่จะไปหลวงพระบาง ชื่อแยกพูคูน ซึ่งที่นี่มีชาวเขานำของมาขายมากมาย เราแวะพักตรงนี้นอกจากแวะเพื่อพักอิริยาบทแล้ว เราต้องแวะเข้าห้องน้ำที่ร้านอาหาร ที่นี่เขามีบริการห้องน้ำสะดวกสบายแต่ต้องเสียค่าเข้าราคามาตรฐานคนละ 5 บาท ทัวร์ของเรานั้นได้ชื่อมากเรื่องการแวะเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวแวะปั๊ม เดี๋ยวแวะร้านอาหาร จนกระทั่งผู้เขียนตั้งชื่อทัวร์นี้ว่าทัวร์ฉี่ อิอิอิ

เรามาแวะกินข้าวกลางวันที่หมู่บ้านกิ่วกระจำ (ไม่แน่ใจว่าจำชื่อผิดหรือเปล่า) ตอนเกือบบ่ายแล้ว ที่นี่มีทัวร์มาแวะกินข้าวกันมากมายเลย ทั้งกลุ่มที่จะเดินทางไปหลวงพระบาง และกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากหลวงพระบาง สังเกตว่านักท่องเที่ยวแทบจะทั้งหมดเป็นคนไทย มีฝรั่งปนๆ มาเหมือนกัน แต่นักท่องเที่ยวไทยและฝรั่งจะแตกต่างกันในเรื่องของการเลือกพาหนะเดินทาง คนไทยชอบความสบายเลยเหมารถตู้ หรือบางทีก็รถเก๋งใช้เดินทาง ที่ผู้เขียนเห็นเป็นรถจากฝั่งไทยจำนวนไม่ใช่น้อยเลย ที่เข้าไปขับในลาว ทะเบียนกทม. ก็เยอะ ขณะที่ฝรั่งส่วนใหญ่นิยมนั่งรถโดยสาร หรือบางพวกมีเวลามากหน่อยก็ปั่นจักรยาน ใช้เวลาแรมวันแรมคืนเหมือนกันจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง สำหรับเมนูมื้อกลางวันของเราแน่นอนว่าต้องมีไข่เจียวหมูสับ ผัดผักรวม (อร่อยทุกอย่าง) เอาละตอนนี้เราใกล้ถึงหลวงพระบางแล้ว อีกไม่กี่อึดใจ แล้วไว้พบกันที่หลวงพระบางตอนหน้าจ้า












ไม่มีความคิดเห็น: