วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 4: แม่น้ำซอง ห่วงยาง ฟูลซันปาร์ตี้และไข่เจียวหมูสับ)

















เรามาถึงวังเวียงประมาณบ่ายสามโมงเศษ โดยใช้เวลาเดินทางจากเวียงจันทน์มาวังเวียงประมาณสามชั่วโมง ทั้งๆ ที่ระยะทางประมาณ 120 กม. เพราะต้องขับขึ้นเขาวกไปวนมา และเป็นอย่างที่ทราบๆ กันว่ากลุ่มเราเดินทางแบบไปหาทุกสิ่งอย่างเอาข้างหน้า ดังนั้นจึงยังไม่มีการจองที่พักใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว มีใครบางคนในกลุ่มเราพูดขึ้นมาดังดังว่า "ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พัก ที่นี่มีที่พักจำนวนมากรองรับนักท่องเที่ยว สู้เราเอาเวลานี้ไปเที่ยวรอบเมืองวังเวียงกันก่อน แล้วค่อยไปหาที่พักช่วงเย็นๆ โน่นเลย" และเป็นอันว่าทุกคนในกลุ่มเห็นด้วยตามนั้น ดังนั้นต่อมาพวกเราจึงมาปรากฏกายที่ "ถ้ำจัง" ตามคำแนะนำของบุญ พวกเราเดินดูรอบๆ แต่ไม่มีใครประสงค์จะเดินเข้าไปในถ้ำ อันเนื่องมาจากต้องเดินขึ้นขั้นบันไดไปร้อยกว่าขั้นประการหนึ่ง และต้องเสียค่าเข้าไปชมอีกประการหนึ่ง ที่ประเทศลาวนี้จะเข้าดูอะไรจะต้องเสียเงินค่าผ่านทางยิบย่อยทุกที่ ซึ่งอาจจะดูเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจสำหรับหลายๆ คน แต่เราคงต้องทำความเข้าใจสภาพและวัฒนธรรมของท้องถิ่น เข้าทำนองเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม (do as the Roman do)





เราเที่ยวเดินชมธรรมชาติบริเวณภายนอก "ถ้ำาจัง" พร้อมกับกินกล้วยปิ้ง มันปิ้งราคาไฮโซ (แปลว่าแพง และแม่ค้าแกมีกลยุทธ์ขายที่ฉลาดหลักแหลมเป็นที่ยิ่ง เพราะพวกเราจ่ายเงินเป็นเงินไทยแต่คนขายบอกไม่มีเงินทอนเป็นเงินไทย เลยขอให้เราใช้เงินที่เหลือที่จะเป็นเงินทอนซื้อกล้วยกับมันปิ้งของแกเพิ่มเติม เป็นไงล่ะ marketing strategy ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ :) แต่ยังไงซะสาวไทยเราเด็ดกว่า คราวนี้เป็นคิวแสดงของ "พี่อ้อย" ซึ่งพี่อ้อยยื่นคำขาดเลยว่าไม่ซื้อเพิ่ม ให้ไปหาเงินทอนไม่งั้นไม่ซื้อ สุดท้ายแกก็ไปหาเงินทอนให้เราจนได้ แหมเด็ดจริงๆ คราวหน้าเวลาใครจะไปซื้อของขอให้ชวนพี่อ้อยไปด้วยนา)

พอออกจากถ้าจังแล้วก็มาถึงแสงสูงของการมาวังเวียง (อ้าว งงละสิ ก็ไฮไลท์ไง อิอิอิ) งานเนี้ย"พี่วัฒน์"ขอมาเชียวนา ก็จะอะไรซะอีก ก็คือการล่อง"แม่น้ำซอง"ด้วยการนอนบนห่วงยางน่ะเอง (ลองดูภาพประกอบของแต่ละนางเอาเหอะ งานเนี้ยไม่มีคำบรรยาย "พี่อ้อย" กับผู้เขียนไม่ได้ลงไปด้วย สมัครใจรออยู่ริมตลิ่งเฝ้าทรัพย์สมบัติของเพื่อนร่วมทาง)
แต่จะบอกอะไรให้ กว่าจะเห็นตามภาพที่เล่นสนุกกันบนห่วงยางอะนะ ต้องใช้ความพยายามมากๆๆๆๆ เนื่องจากห่วงยางเนี้ยเขามีบริการให้เช่า คิดเป็นชั่วโมงหรืออะไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่มีคนเช่าไปหมดแล้วคือพวกฝรั่งหัวแดงแดงที่มาอยู่ที่นี่กันเต็มไปหมด



พูดถึงฝรั่งพวกนี้ก็อดที่จะเล่าให้ฟังไม่ได้ว่า ที่วังเวียงเนี้ยตามริมแม่น้ำซองมีฝรั่งพวก backpack มาสิงสถิตย์อยู่เป็นจำนวนมากเลยเชียวละ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ก็มีแต่น้อย แล้วพวกเนี้ยน่ะนะกลางวี่กลางวันแท้แท้ ก็ยังอยากจะทำรักกันโดยไม่สนใจและเกรงใจคนท้องถิ่นเอาซะบ้างเลย กอดจูบลูบคลำกันให้โจ่งครึ่ม กินเหล้าเมายา (สันนิษฐานว่าเสพยาเสพติดกันด้วยนะ เพราะเห็นผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งทำท่าทางแปลกๆ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ และก็ไม่ใช่อาการเหมาเหล้านะ เพื่อนต้องเขามาช่วยประคอง) เปิดเพลงกันให้สนั่นหวั่นไหว เห็นแล้วรู้สึกว่าบรรยากาศมันคล้ายๆ กับที่เกาะพงันบ้านเรา ที่ฝรั่งมาจัดฟูลมูนปาร์ตี้ แต่ที่วังเวียงเนี่ยต้องเรียกฟูลซันปาร์ตี้ เพราะเป็นเวลากลางวันแสกๆ เลย มาคิดดูแล้วฝรั่งพวกนี้ (อันนี้ไม่ได้ว่าเหมารวมฝรั่งทุกคนนะ คนดีเขาก็มี) เหมือนคนไร้ซึ่งวัฒนธรรม ไม่เคารพจารีตประเพณีของท้องถิ่น ลองนึกภาพซิ จารีตของประเทศลาวที่งดงาม ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่รีบร้อน กับพฤติกรรมของฝรั่งพวกนี้ พวกนี้เนี่ยนะไปถึงไหนทำให้สังคมเขาเสื่อมที่นั่น ลองดูบ้านเราเป็นตัวอย่างก็ละกัน ไม่อยากจะวิจารณ์มากและ แต่รู้สึกไม่ประทับใจอย่างมากกับที่วังเวียงนี้ และรู้สึกเสียดายแทนหากรัฐบาลลาวปล่อยปละละเลยให้พวกนี้มาทำอะไรหยาบโลน ขัดต่อวัฒนธรรรมและจารีต เพราะประเทศไทยเราก็เรียกว่าแทบจะสูญเสียวัฒนธรรมที่ดีไปหมดแล้ว เลยไม่อยากให้ลาวเขาต้องมาเจอความเสื่อมเหมือนบ้านเรา

หลังจากพี่ๆ เขาพออกพอใจกับการมาถึงวังเวียงด้วยการนอนเล่นบนห่วงยางเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากพอดู ก็เอาละถึงเวลาหาสถานที่พักผ่อนนอนหลับซะที พวกเราก็ยังคงมั่นใจว่าที่พักหาได้ง่ายดาย เราเลยไม่รีบร้อน บุญเองก็ทำหน้าที่ได้ดีเป็นทั้งสารถีและไกด์ภายในตัว บุญถามพวกเราว่าต้องการห้องพักประมาณไหน อู้ยพวกเราเลยเสนอเงื่อนไขซะ อย่างต้องติดแม่น้ำซองเงี้ยเพราะอยากดูวิวธรรมชาติ (ถึงเวลาจริงๆ ไม่เห็นใครทำได้อย่างที่ว่าเลย เห็นเข้านอนกันเงียบ) หรือต้องมีเครื่องทำน้ำอุ่น (อะนะ อันนี้สมเหตุสมผล เพราะอากาศค่อนข้างเย็น) ราคาห้องคู่ไม่เกินห้องละ 600 บาท (อันนี้อย่าตกใจ เพราะเป็นราคามาตรฐานของที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ตามทีเพราะที่พักที่ลาวนี้ถูกมาก) บุญก็ดีจริงเลยขับรถพาพวกเราตระเวณหาที่พัก ปรากฏว่าที่พักที่เข้าเงื่อนไขเราทั้งสามอย่าง ที่ไหนๆ ก็เต็ม แต่มีอยู่ที่เข้าเงื่อนไขสองข้อแรก แต่ราคาสุดโหดห้องละพันกว่าบาทได้มั้ง สะดุ้งเลยพวกเรา ถอยดีกว่า สุดท้ายเลยบอกบุญไปว่าที่ไหนก็ดีที่ราคาไม่เกินห้าร้อยบาท (ป้าศรียังมีแถมอีกนะอยากอาบน้ำอุ่นด้วย) ทำไปทำมาเราก็มาได้เฮือนพักแถวๆ สนามบินเก่าในวังเวียง ก็พออยู่ได้ พอได้ที่พักแล้วเราค่อยโล่งใจหน่อย พอเก็บข้าวของแล้ว ก็ออกมากินข้าวเย็นกัน วนๆ ดูอยู่สักพักก็เห็นมีอยูร้านหนึ่งท่าทางน่าจะอร่อยเพราะคนเข้าร้านเต็มไปหมด ทั้งหัวแดงหัวดำ เราก็เลยใช้ concept พี่นิว่าร้านไหนคนเข้าเยอะร้านนั้นต้องอร่อย เลยเข้าไปนั่งเอ้เต้ทั้งหมด 7 คน รวมบุญด้วย สั่งอาหารสุดยอดไฮโซ เช่น ผัดผักรวม ต้มยำปลา และที่ไฮโซสุดคือ ไข่เจียวหมูสับ และ
ก็สั่งอะไรอีกหลายอย่าง เบ็ดเสร็จแล้วจ่ายไม่ถึงพันมั้ง ราคาก็พอเหมาะพอสมไม่แพง รู้สึกทุกคนจะติดใจไข่เจียวนะเนี่ย เราเดินรอบๆ ข้างในตัวเมืองวังเวียงอยู่ครู่ใหญ่ ก็เห็นว่าน่าจะกลับไปพักกันได้แล้วเพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อไปหลวงพระบางจุดมุ่งหมายของเรา
ยังไงซะตอนนี้ราตรีสวัสดิ์ก่อนนะ



















































































ไม่มีความคิดเห็น: