วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 7: อารมณ์ค้างที่ดาวฟ้า)

เมื่อตอนที่แล้วเล่าเรื่องเมืองหลวงพระบางในแง่มุมที่ดูหนักๆ ไปนิด แต่ก็เป็นความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองนี้กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อแรกเราเดินทางมาถึง มีแม่ค้าสาวชาวหลวงพระบางนำข้าวเหนียวหัวหงอกมาขาย รสชาติเป็นที่ถูกอกถูกใจเราพอสมควร แต่ซื้อเสร็จแล้วก็ใช่ว่าจะหาบกระจาดเดินไปเฉยๆ เลยก็หาไม่ แม่ค้าสาวคนนั้นอยู่คุยกับเราอยู่เป็นนานเหมือนกัน (พวกเราก็ชอบคุยด้วยแหละ โดยเฉพาะพี่หวาดกับพี่วัฒน์ เห็นถามเรื่องกรรมวิธีทำข้าวเหนียวกันใหญ่) แม่ค้าเธอก็เป็นงานอยู่เหมือนกัน พอพูดจาพาทีเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับข้าวเหนียวที่เธอนำมาขายแล้ว เธอก็เริ่มถามพวกเราว่า พรุ่งนี้เช้า (วันที่ 9 กุมภาพันธ์) พวกเราจะใส่บาตรพระสงฆ์ อันเป็นกิจกรรมเด่นที่สุดสำหรับคนมาเยือนหลวงพระบางที่เป็นชาวพุทธจะพลาดไม่ได้หรือเปล่า (ตอนนั้นพี่นิและป้าศรีซึ่งตอนแรกๆ ไม่รู้อยู่ไหนก็เริ่มเดินมาสมทบที่กลุ่มเรา) พวกเราเลยตอบไปอย่างซื่อๆ ว่า แม่นแล้วเจ้า
"เอื้อย เอื้อย ถ้างั้นพรุ่งนี้น้องจะทำของสำหรับใส่บาตรมาให้เน้อ น้องคิดราคาไม่แพงหรอก" พวกเราหารือกันอยู่พักหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะอัธยาศรัยไมตรีของแม่ค้าสาวทำให้เราสี่คนประกอบด้วย พี่อ้อย พี่หวาด พี่วัฒน์ และผู้เขียนตอนแรกก็เหมือนจะตกปากรับคำแม่ค้าไป และพอมาถามว่าแล้วพรุ่งนี้เช้าจะเจอกันยังไงล่ะ

"ไม่ยากหรอกเอื้อย บ้านน้องอยู่ฝั่งโน้น (เธอหมายถึงบ้านเธออยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขง เวลาที่เธอมาฝั่งหลวงพระบาง ก็นั่งเรือจ้างข้ามมา) เดี๋ยวน้องนั่งเรือมาส่งของแต่เช้าเลย" พอแม่ค้าสาวตอบไปอย่างนั้น พวกเราก็เลยลังเล ทำไปทำมาเราก็เลยปฏิเสธแม่ค้าไปเพราะกลุ่มของเราเองก็ไม่รู้จะออกไปเวลากี่โมง เดี๋ยวนัดแนะกันแล้วเกิดไม่เจอก็จะเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย ขอโทษด้วยนะจ๊ะแม่ค้า เอาไว้ไปคราวหน้าจะเหมาข้าวเหนียวทั้งกระจาดเลย แต่คราวนี้ซื้อแค่สามห่อก่อนนะ




เมื่อตอนก่อนเกริ่นให้ฟังไปเล็กน้อยว่าพวกเราเข้าพักที่ guest house ชื่อวิลลาพิไลลักษณ์ ซึ่งการมาที่หลวงพระบางนี่เราไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องหาที่พักเหมือนที่วังเวียง เพราะที่พักมีอยู่มาก เป็นลักษณะบ้านพักที่ปรับปรุงให้พร้อมกับการเข้าพักของแขก สภาพห้องพักและห้องน้ำดูดีกว่าที่พักที่วังเวียงที่เราไปพัก แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ลองหาที่อื่นดูเหมือนกันนะ ประเภทที่ติดกับวิวแม่น้ำโขง แต่ก็ยังไม่ค่อยถูกใจ มาลงตัวที่วิลลาพิไลลักษณ์นี่แหละ ราคาก็ถูกเช่นเดิมห้องละห้าร้อยบาทต่อคืน ก็พอดีว่าที่นี่มีห้องพักเหลือสามห้องสำหรับเราหกคนพอดี ทีนี้กลุ่มเราก็เป็นห่วงบุญขึ้นมาว่าจะไปพักไหน ก็เลยบอกบุญไปว่าให้ไปหาที่พักที่ใกล้ๆ พวกเราราคาพอเหมาะพอสม เราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งบุญเขาก็บอกไปว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเขาดูแลตัวเอง เราก็เลยเข้าใจว่าเขาน่าจะไปพักอยู่กับเพื่อน เพราะทำอาชีพลักษณะนี้คงมีเพื่อนอยู่ทั่วไป

เสร็จจากเรื่องที่พักเราก็ไม่รอช้า ออกเที่ยวทันที ที่แรกที่ไปคือ"พระธาตุจอมพูสี" ซึ่งอยู่ตรงตลาดไนท์นั่นเอง ตอนที่เราไปร้านรวงต่างๆ ยังไม่ได้ตั้งร้านเพราะยังหัววันอยู่ ที่พระธาตุแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งอยุ่บนเขาสูง ทางขึ้นมีความสูงชันมาก จำไม่ได้ว่าขึ้นบันไดไปกี่ขั้น แต่ทำให้พวกเราเหนื่อยมากจริงๆ เลย เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นอย่างมาก เต้นแอโรบิคของพี่วัฒน์ยังสู้ไม่ได้เลย


ระหว่างทางเดินขึ้นพระธาตุ พวกเราต้องแวะหยุดพักหายใจระหว่างขั้นบันไดเป็นระยะ ตามภาพที่เห็น เพราะเหนื่อยมากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะอายุยังน้อยอยู่ก็ตาม 555 แต่พอถึงข้างบนแล้วก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะวิวของหลวงพระบางที่มองลงมาจากพระธาตุสวยจริงๆ เราเห็นสะพานข้ามแม่น้ำคาน (ที่หลวงพระบางมีแม่น้ำสองสายไหลผ่านคือ แม่น้ำโขง และแม่น้ำคาน) ทอดผ่านแม่น้ำโดยมีเขาสูงชันเป็นภาพพื้นหลัง ทำให้รู้สึกว่าตัวเรานั้นช่างเล็กกะจิดริด เมื่อเที่ยบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เช่น ขุนเขา แล้วทำไม๊ทำไมคนเราถึงคิดว่าเรื่องอะไรๆ ของตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ สลักสำคัญเป็นนักหนา


เราเข้าไปสักการะพระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์หลังเล็ก และก็ชื่นชมบรรยากาศบนยอดพระธาตุอยู่เป็นเวลาพอสมควร เราก็เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ไปจับจองมุมหนึ่งของทางฝั่งทิศตะวันตกของพระธาตุ เพื่อจะรอบันทึกภาพประทับใจพระอาทิตย์ของวันนี้ลาลับเหลี่ยมเขาของเมืองหลวงพระบาง แต่กลุ่มเราเห็นว่าถ้าเรารอบันทึกภาพเหมือนกับกลุ่มประชากรนักท่องเที่ยวเหล่านั้น อาจทำให้เรามีเวลาไม่พอสำหรับกิจกรรมต่อไปได้ จะอะไรซะอีก การเดินดูและซื้อสินค้าของตลาดไนท์ไง
เท้าไวเท่าความคิด พวกเราก็รีบลงมาจากยอดพระธาตุทันที ตอนลงมาเนี่ยช่างไวจริงๆ และก็ไม่เหนื่อยเหมือนตอนขาขึ้น แต่จะไม่ค่อยดีสำหรับผู้ที่ข้อเข่าไม่ดี และยิ่งกลุ่มพวกเราเนี่ยอายุน้อยๆ ทั้งนั้น อิอิอิ ระหว่างเดินลงมาเราก็สวนกับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยจำนวนมาก อายุมากบ้าง น้อยบ้าง สภาพแต่ละคนเหมือนเราตอนขาขึ้นไป เราก็ได้แต่ทักทายและให้กำลังใจว่าใกล้ถึงแล้ว อะไรประมาณเนี้ย
เราเดินลงมาถึงข้างล่างก็พอดีกับร้านรวงต่างๆ ของตลาดไนท์เริ่มตั้งเต็นท์ขายกันแล้ว จะเล่าให้ฟังว่าเต็นท์ร้านค้าที่นี่มีสภาพดีกว่าบางแห่งที่เมืองไทยอีก (อันนี้ฟังมาจากพี่วัฒน์) เพราะของเขาเป็นเต็นท์สำเร็จรูป ตั้งง่าย (ไม่รู้จะอธิบายยังไง) แต่ก็เห็นด้วยกับพี่วัฒน์ ลองดูภาพประกอบโดยมีป้าศรีเป็นนางแบบละกัน
ระหว่างรอให้ร้านทุกร้านตั้งร้านเสร็จ ด้วยความเป็นคอกาแฟและยังไม่ได้กินกาแฟเลยตั้งแต่อุดรจนเข้ามาที่ประเทศลาวเป็นเวลาสามวันแล้ว นักนิยมชมชอบกาแฟอย่างผู้เขียนก็อดรนทนไม่ได้เมื่อเห็นร้านกาแฟตั้งอยู่ข้างหน้า ก็เลยชวนพี่นิ รวมทั้งพี่คนโน้น พี่คนนี้เข้าไปนั่งในเต็นท์ร้านกาแฟซะเลย อาจจะมีคนอ่านบางคนบอกว่า อ้าวทำไมทีเงี้ยกินได้ แต่พอป้าศรีชวนให้กินครั้งก่อนๆ ทำไมไม่กินละ เล่นตัวหรือไง อ๊ะ อ๊ะ ยังก่อน ยังไม่เฉลย ตอนหน้าๆ ก็แล้วกันมีเรื่องเล่าเด็ด เรื่องกาแฟนี่ละ

เสร็จจากร้านกาแฟแล้ว เราก็เดินเที่ยวตลาดไนท์ ผสมผสานกับการเดินเข้าวัดที่อยู่ใกล้กัน (ชื่อวัดจำไม่ได้อะ ตอนนั้นเริ่มสนใจตลาดอย่างเดียวแล้ว แต่มีรูปภาพป้ายชื่อวัดนะ เป็นภาษาลาวอ่านเองละกัน)

เราเดินดูของที่ตลาดไนท์เป็นเวลานานโขเหมือนกัน แต่ยังไม่มีแม่ค้าคนใดควักเงินในกระเป๋าของพวกเราได้ พอได้เวลาอาหารแล้วท้องก็เริ่มร้อง พวกเราก็ต้องมารวมกลุ่มถามกันว่าจะกินข้าวเย็นประมาณไหน

"ข้อยอยากกินปลา" ให้เดาว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ อืม ไม่มีใครหรอกพี่วัฒน์น่ะละ พอมีสมาชิกบอกว่าอยากกินปลา พวกเราก็เลยเดินดูอาหารที่เขาขายริมทางบริเวณตลาดไนท์ ก็จะมีร้านประเภทไก่ย่าง ปลาเผา รู้สึกว่าจะมีกุ้งเผาด้วยเปล่าไม่แน่ใจเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เราเดินผ่านร้านเหล่านี้ไปหนึ่งรอบ ก็ยังซื้ออะไรไม่ได้ พอดีข้างๆ กันเป็นซอยที่มีร้านอาหารอยู่อีกเหมือนกัน ก็เลยลองเดินเข้าไปดู ก็จะเป็นอาหารประเภท ส้มตำ ไก่ย่าง มีขนมขายด้วย และที่เห็นขายกันเยอะๆ คือไคแผ่นบรรจุถุง (ไคเป็นภาษาลาวที่เรียกสาหร่ายในน้ำโขงแล้วนำมาตากแห้งมั้ง กรรมวิธีทำไคเนี่ยไม่ค่อยรู้)


เดินไปเดินมาก็ยังไม่ถูกใจอะไรเลย ก็เลยเดินย้อนกลับมาที่นอกถนนอีกครั้ง และก็ตัดสินใจเลือกซื้อปลาเผาตัวเขื่อง และไก่ย่าง ซื้อเสร็จแล้วจะไปนั่งกินที่ไหนล่ะ เพราะที่ร้านเขาให้ซื้อห่อกลับไปบ้านไม่มีโต๊ะนั่ง สรุปก็คือถือห่อปลาเผากับไก่ย่างไปนั่งกินที่ร้านอาหารริมโขง ตอนแรกก็กระมิดกระเมี้ยนเพราะไม่แน่ใจว่าที่ร้านเขาจะให้นำอาหารจากข้างนอกเข้ามากินในร้านได้หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าคนลาวน่ารักมากนอกจากจะไม่ห้ามแล้ว ยังนำจาน ถ้วยมาให้เราใส่ปลาเผา ไก่ย่าง และน้ำจิ้มอีกด้วย เราก็เลยสมนาคุณร้านนี้ด้วยการสั่งไข่เจียว ผัดผักรวม ข้าวผัด มาประกอบกับการกินไก่และปลาของเรา 5555
อิ่มอร่อยแล้ว ก็ได้เวลากลับที่พัก แต่ยังก่อน ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน พี่วัฒน์ขอเป็นกรณีพิเศษ นั่นก็คือไปเที่ยวกลางคืน ฮ้า!!! พี่วัฒน์เนี่ยนะจะเที่ยวกลางคืน คือเรื่องมีอยู่ว่าพี่วัฒน์ไปรับทราบมาจากไหนว่าที่นี่มีไนท์คลับที่นำเสนอการรำวงแบบลาว (คือ show step ประเภท ชะ ชะ ช่า อะไรอย่างนี้แหละ ลองหาดูใน youtube หาคำว่า "รำวงแบบลาว" นั่นนะที่พี่วัฒน์อยากดู)
บุญก็ดีจริงๆ เลยขับรถพาพวกเราไปไนท์คลับชื่อ "ดาวฟ้า" พอไปถึงจอดรถเสร็จสรรพ พวกเราก็เดินดุ่มกันเข้าไปเลย ไม่ถามเลยว่าก่อนเข้าต้องซื้อบัตร drink อะไรหรือเปล่า พอโผล่เข้าไป โอโหมืดจังแหะข้างในน่ะ พอสายตาเริ่มปรับแสงได้ โอโฮ แม่เจ้าโวย คนจากไหนนักหนานั่น นั่งกันหัวดำดำสลอนไปหมด ไม่มีที่ว่างให้กลุ่มเราเลย พวกเราก็เลยต้องล่าถอยออกมาพร้อมด้วยสีหน้าสีตาที่ผิดหวังเล็กน้อยของคนต้นคิดที่อยากดูรำวงแบบลาว เอาน่ะพี่ช่วงนี้ก็ดูจาก youtube ไปก่อนก็ละกัน
ที่จริงกลับไปพักผ่อนเร็วก็ดี เพราะเราต้องตื่นแต่เช้ามาใส่บาตร วันนี้เหนื่อยทั้งนั่งรถและไปโน่นไปนี่มาทั้งวันแล้ว ก่อนที่เราจะกลับเข้าห้องพักของแต่ละคน เราก็นัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หน้าที่พักตอนตีห้า เพราะรู้มาว่าพระท่านออกจากวัดเช้า เอาละราตรีสวัสดิ์ ไว้เจอกันพรุ่งนี้วันมาฆบูชา



ไม่มีความคิดเห็น: