วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 8: คนลาวถอยไปขอคนไทยก่อน)



เช้าวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวพุทธที่จะรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการที่พระองค์ประทานโอวาทปาฏิโมกข์ อันได้แก่
๏ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขานิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธาน หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตีสมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทาสจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1 การบำเพ็ญแต่ความดี 1 การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1 นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๏ อนูปวาโท อนูปฆาโตปาติโมกฺเข จ สํวโรมตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึปนฺตญฺจ สยนาสนํอธิจิตฺเต จ อาโยโคเอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
๏ การไม่กล่าวร้าย 1 การไม่ทำร้าย 1 ความสำรวมในปาฏิโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร 1 ที่นั่งนอนอันสงัด 1 ความเพียรในอธิจิต 1นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
(ขอขอบคุณสารานุกรมออนไลน์วิกีพีเดียดอทคอมเอื้อเฟื้อข้อมูล)

โอวาทปาฏิโมกข์ดังกล่าวพระพุทธองค์ได้ประทานไว้ในวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถีขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เมื่อ 2,500 กว่าปีล่วงมาแล้ว ซึ่งเป็นวันที่เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการ คือ 1) พระสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน 1,250 รูป โดยมิได้นัดหมาย 2) พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือเป็นพระที่พระพุทธเจ้าบวชให้ 3) พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ และ 4) วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี หรือวันจาตุรงคสันนิบาต ที่พร้อมด้วยองค์ 4

ที่เกริ่นมาทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ใช่จะอวดภูมิว่าเป็นคนเคร่งศีล ธรรมะธรรมโม รู้ไปหมด แต่ที่เขียนไปทั้งหมดต้องหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตือนตัวเองว่า อย่าได้เป็นพุทธแต่เพียงในทะเบียนบ้าน แต่ขอให้พยายามให้มีความถึงพร้อมด้วยความเป็นพุทธตามพระธรรมคำสั่งสอน ดังนั้นเช้านี้ผู้เขียนเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ถึงแม้จะต้องตื่นเช้ากว่าทุกวันที่อยู่ในกรุงเทพฯ พวกเราทั้งหกออกจากที่พักตีห้าตรงไม่ขาดไม่เกิน เราบอกบุญไปตั้งแต่เมื่อคืนวานก่อนจะแยกกันกลับที่พักว่า ช่วงเช้าตอนใส่บาตรพระ บุญยังไม่ต้องมาก็ได้ เพราะถนนที่พระท่านจะเดินรับบาตร อยู่ตรงหน้าปากซอยที่พักเรานั่นเอง ดังนั้นพวกเราสามารถเดินออกมาเองได้ บรรยากาศเช้ามืดอย่างนี้เงียบดีจริงๆ อากาศค่อนข้างเย็น ตอนที่เราออกมาจากบ้านพัก เราเห็นแสงไฟในครัวของเจ้าของบ้าน สงสัยแม่บ้านกำลังหุงข้าวอยู่มั้ง พอเดินออกมาก็เห็นบางบ้านเริ่มเปิดไฟ คงจะมีนักท่องเที่ยวอย่างเรากำลังเตรียมตัวออกมาใส่บาตรเหมือนกับพวกเรา

พอเดินมาถึงหัวถนนที่พระท่านจะเดินรับบาตร ซึ่งขณะนั้นฟ้ายังมืดอยู่ พวกเราก็ยังไม่เห็นใครออกมาสักคน มีแต่พวกเราหกคนเท่านั้นที่เตรียมพร้อมกว่าใครเพื่อน ไม่ช้าไม่นานก็มีเหล่าบรรดาแม่ค้าเดินปรี่มาที่กลุ่มเราเพื่อจะเสนอขายของที่จะไปใส่บาตร อันประกอบไปด้วย ข้าวเหนียวหนึ่งหรือสองกระติ๊บ (จำไม่ได้แล้ว) ข้าวต้มลูกโยนห่อขนาดย่อมๆ จำนวนหนึ่ง ดอกดาวเรืองสำหรับถวายพระจำนวนหนึ่ง รู้สึกว่าชุดละร้อยบาทนะนั่น พวกเราทั้งหกคนก็แบ่งกันซื้อจากแม่ค้าคนละคน เพื่อเป็นการกระจายรายได้ ค่าใช้จ่ายนี้รวมไปถึงให้บริการเสื่อสำหรับนั่งด้วยนะ พวกเราซื้อของเพื่อเตรียมใส่บาตรเสร็จแล้ว เวลาก็เพิ่งตีห้ากว่าๆ เอง ก็เลยสอบถามแม่ค้าว่าพระท่านจะเดินรับบาตรกี่โมง ก็ได้ความว่าประมาณหกโมงเช้า อ้าว! เมื่อคืนใครเป็นคนบอกเนี่ยว่าพระท่านจะเริ่มเดินบิณฑบาตรตอนตีห้าครึ่ง รีบออกมาซะตั้งแต่ไก่โห่เชียว ดังนั้นพวกเราจึงเป็นพุทธมามกะที่ปูเสื่อสาด พร้อมจัดข้าวของที่จะใส่บาตรเสร็จเป็นกลุ่มแรก ดูในภาพสินั่งกันตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่เลย พอนั่งไปสักพัก เหลียวไปทางขวา เหลียวไปทางซ้ายก็ไม่เห็นใครนอกจากคนในกลุ่มตัวเอง ก็เลยคุยกับน้องคนหนึ่งที่มาช่วยแม่ขายของใส่บาตร ขยันจริงๆ เลย เพราะเท่าที่ถามตอนสายๆ น้องเขาต้องไปโรงเรียนต่ออีก ดีจริงเลยรู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ คุยกันเสร็จแล้วป้าศรีเขาเกิดเอ็นดูเด็ก เลยเรียกน้องบอกว่า "มา มา ถ่ายรูปกับป้า" อืมยอมรับความจริงก็ดีนะเนี่ยว่าอยู่ในวัยเป็นป้าคนแล้ว ป้าศรีเนี่ย งั้นที่เรียกป้าศรีเป็นป้าโดยตลอดก็ถูกแล้วดิ 5555 แหมแต่ดูในภาพแล้วน้องเขาหน้าตาเหยๆ ยังไงชอบกล ป้าไปแอบหยิกเขาหรือเปล่าเนี่ย


เราทำโน่นทำนี่สังหารเวลาไปพักใหญ่ เช่น ถ่ายรูปบ้าง เดินไปดูทางโน้นทางนี้ สักพักก็เริ่มมีคนทยอยเดินออกมา เปล่านะไม่ใช่คนท้องถิ่นหรอก นักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งนั้น ส่งภาษาไทยกันให้ขรมเชียว พวกเราก็เลยสงสัยว่าแล้วคนท้องถิ่นล่ะไปไหน นี่เรามาจับจองพื้นที่ของเขาหรือเปล่า จนเขาต้องหลบลี้หนีหน้าไม่มาตักบาตร แต่ยังไม่ทันได้คำตอบก็เริ่มมีแถวพระเดินมาอย่างไม่ขาดสาย ก็เลยต้องเก็บข้อกังขานั้นไว้ในใจก่อน พอพระท่านเดินมาถึงเราก็ปั้นข้าวเหนียวในกระติ๊บใส่บาตรรูปละก้อน บางทีก็ใส่ข้าวต้มลูกโยนรูปละห่อ ก็ใส่ได้หลายรูปเหมือนกัน ระหว่างเรากำลังตั้งอกตั้งใจใส่บาตรอยู่นั้นก็มีฝรั่งมาถ่ายรูปกันเป็นมหกรรมเลย เฮ้อ นี่พระท่านเป็นนายแบบตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ของที่เราเอาไว้ใส่บาตรหมดแล้ว แต่พระท่านก็ยังทยอยเดินมาไม่ขาดสาย ก็เลยออกมาสังเกตการณ์อยู่มุมนอก เห็นข้างๆ ตรงที่เราใส่บาตรมีป้ายตั้งไว้เขียนเป็นภาษาอังกฤษแปลความว่า "ขอความกรุณาท่านนักท่องเที่ยวอย่าถ่ายรูปประชิดตัวกับพระสงฆ์เวลารับบาตร ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือกับเราในอันที่จะรักษาประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีนี้ไว้" พอเราได้อ่านแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนด้วยความละอายเพราะเราก็เป็นหนึ่งในจำนวนของผู้ที่ถ่ายรูปพระท่านขณะรับบาตรด้วยไม่ใช่แต่เฉพาะฝรั่งพวกนั้นหรอก นี่ไงหลักฐาน




พอได้เห็นป้ายอันนั้นแล้ว เราก็เลยเดินแยกออกมาให้ห่างจากแถวของพระ และก็สังเกตไปรอบๆ ว่าเพิ่งมีคนท้องถิ่นขนเสื่อ บ้างก็ขนเก้าอี้ และของต่างๆ เพื่อเตรียมใส่บาตร ที่เห็นก็มีบรรดารุ่นคุณย่า คุณยาย นุ่งผ้าซิ่นห่มผ้าเหมือนสไบทับเสื้อตัวใน ดูสวยแบบสมัยก่อนเลย โดยกิจกรรมนี้คนท้องถิ่นเขาทำหลังจากที่นักท่องเที่ยวใส่บาตรพระกันเกือบเสร็จแล้ว ดูราวกับว่าชาวลาวเขารอให้ชาวเราที่เป็นนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทยใส่บาตรกันให้พอใจกันเสียก่อน เขาถึงมาใส่ของเขาบ้าง และสถานที่ก็ไม่ได้มาปะปนกับของเรา เขาก็แยกออกไปทางหัวถนนโน่น รู้สึกเหมือนเรามาแย่งพื้นที่ของคนท้องถิ่นยังไงไม่รู้ (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ นักท่องเที่ยวท่านอื่นอาจเห็นต่างก็ได้)



พอเล่ามาถึงประเด็นนี้แล้ว ก็อยากจะคุยถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาติเรากับประเทศเพื่อนบ้านเสียหน่อย เป็นเวลานานแค่ไหนแล้วที่คนไทยมีมุมมองว่าประเทศเพื่อนบ้านด้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นลาว กัมพูชา จริงอยู่บางครั้งความขัดแย้งในเรื่องการครอบครองเขตแดนอะไรที่ซ้ำซ้อนกันมันย่อมทำให้เราเกิดทัศนคติในเชิงลบ แต่เหตุการณ์เหล่านั้นมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยและบางครั้งการแก้ไขปัญหาที่จะสร้างความเข้าใจเรื่องการถือสิทธิครอบครองเป็นสิ่งที่รัฐบาลของเราและคู่กรณีเขาต้องแก้ไขปัญหาร่วมกัน แต่ในกรณีของเราที่เป็นพลเมืองของประเทศ ถ้าเราสามารถสร้างทัศนคติในเชิงบวกให้เพิ่มมากขึ้นต่อระดับปัจเจกบุคคลในประเทศเพื่อนบ้าน ผู้เขียนคิดว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราเขาก็จะมองเราในเชิงบวกมากขึ้น อย่างเช่นที่ลาวนี้ ทำไมคนไทยถึงชอบพูดว่าเราเป็นบ้านพี่ เมืองน้อง ใครเป็นพี่และใครเป็นน้อง คนฟังทุกคนย่อมรู้ดี ถ้ามีใครเปรียบเทียบเรากับสิงคโปร์ว่าเป็นบ้านพี่ เมืองน้องบ้างล่ะ เราซึ่งเป็นคนไทยรู้อยู่แก่ใจว่าในกรณีนี้ใครเป็นพี่ และใครเป็นน้องถ้าเปรียบเทียบกันในเชิงความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ และเมื่อมีคนพูดแบบนี้เราซึ่งเป็นคนไทยชอบใจหรือเปล่าล่ะ

ก็คงจะเป็นความรู้สึกเดียวกันกับประชาชนลาวเพื่อนบ้านเราน่ะละ เขาก็ไม่ชอบใจเหมือนกันที่เขาโดนเรียกว่าน้อง ของบางสิ่งบางอย่างเราอย่ามองแค่มุมเดียว จริงละในแง่ความเจริญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง เราอาจจะเจริญกว่าเขา แต่ในด้านอื่นล่ะในเรื่องของน้ำจิตน้ำใจ อะไรอีกสารพัดเราอาจจะด้อยกว่าเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าท่านอยากให้คนอื่นเคารพในความเป็นตัวตนของท่าน ท่านก็ต้องเคารพตัวตนของเขาก่อน จริงไม๊

ตอนนี้คุยมายืดยาวแล้ว เห็นทีต้องไว้คุยต่อตอนหน้าว่าเสร็จจากตักบาตรตอนเช้าแล้วเราไปทำอะไรต่อ สำหรับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพันธุ์แท้ อย่าพลาดนะ รู้ใช่ไม๊ว่าจอของใคร อิอิ

ไม่มีความคิดเห็น: