วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เล่าเรื่องเยือนเมืองลาว (ตอน 11: さようなら หลวงพระบาง กาแฟเป็นพิษกับหัวเผือกของฉัน)

วันนี้เริ่มต้นชื่อตอนด้วยภาษาญี่ปุ่นเลย อ่านว่า さ= ซะ, よう = โย, な = นะ, ら = ระ, รวมเป็นซะโยนะระหลวงพระบาง หรือลาก่อนหลวงพระบาง อย่าแปลกใจนะวันนี้ไม่ได้พูดเรื่องภาษาญี่ปุ่น เพียงแต่อยากให้ชื่อตอนนี้ดูแหวกแปลกแนวบ้าง และก็ดูชื่อตอนแล้วก็คงงงว่าคนเขียนจะเล่าอะไรเนี่ย เอาเถอะ ไหนๆ ก็หลวมตัวอ่านมาตั้งนานแล้ว อ่านต่อจะเป็นไรไป

เมื่อตอนก่อนเราจบตรงที่ผู้เขียนกับพี่วัฒน์แยกมาเดินเที่ยวกันต่างหากในเมืองหลวงพระบาง ในขณะที่พี่ๆ อีก 4 คน และบุญล่องเรือเที่ยวแม่น้ำโขง ซึ่งตอนหลังเห็นมาเล่าให้ฟังว่าสนุกสนานกัน แวะขึ้นฝั่งไปดูชาวบ้านเขาทอผ้ากันด้วยนิ เลยขอ post รูปพี่ๆ เขาหน่อยเดี๋ยวน้อยใจ อิอิ



หลังจากเราได้เที่ยวตามความสนใจกันในช่วงบ่ายเกือบเย็นกันแล้ว ค่ำคืนนั้นเราก็ยังคงแยกย้ายกันเดินเที่ยวตลาดไนท์เพื่อร่ำลาหลวงพระบาง และเพื่อเป็นการกระจายรายได้ด้วยการซื้อข้าวของไปฝากเพื่อนและคนรู้จักที่เมืองไทยด้วย



เดินช็อปปิ้งไปเป็นชั่วโมงๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนกระทั่งความมืดมาเยือน บางร้านที่อยู่ในมุมมืดต้องเพิ่มแสงสว่างให้ร้านตัวเองด้วยการเปิดโคมไฟ เห็นบางร้านที่คนขายเป็นเด็กๆ เอาการบ้านมานั่งทำด้วย ก็เลยลองส่องๆ ดูหนังสือเรียนเขาเสียหน่อย อืมก็อ่านไม่ค่อยยากหรอก ครือๆ กับภาษาไทยเหมือนกัน ประเภท กอ เอ๋ย กอ ไก่ ขอ ไข่ อันนี้เหมือนกัน พอมาถึง งอ งู ของลาวเขาเป็น งอ งัว อืมน่าสนใจ ยอ ยุง (แล้วทำเสียงขึ้นจมูกหน่อยๆ เหมือนภาษาอีสาน)มอ แมว นอ นก อันที่จริงแล้วภาษาของเราสองประเทศมีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ที่มายังมีข้อโต้แย้งกันอยู่บ้าง บางสำนักวิชาการก็ว่าลาวนั้นยืมมาจากไทย แต่บางที่ก็ว่าของไทยยืมมาจากลาว แต่อย่างไรก็แล้วแต่ใครจะยืมของใครมาไม่สำคัญเพราะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่มีไว้เพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่มีไว้เพื่อนำมาเป็นประเด็นมาขัดแย้งกัน ผู้เขียนคิดว่าทั้งลาวและไทยต้องเคยเป็นชนเผ่าเดียวกันมาก่อน อาจมาแยกแตกแขนงกันไปตามเส้นแบ่งภูมิศาสตร์ก็อาจจะเนื่องมาจากความแตกต่างของแนวคิดเรื่องการเมืองการปกครอง หรือวิถีทางสังคมและวัฒนธรรมก็เป็นได้

พวกพี่ๆ เขาได้ของคนละชิ้นสองชิ้น หลังจากผ่านการต่อรองกับคนขายอย่างมาราธอน เห็นพี่ที่ซื้อกันเก่งๆ บอกว่าวันนี้บรรดาแม่ค้าลดราคาให้ง่ายๆ กว่าเมื่อวาน เพราะวันนี้มีลูกค้าน้อยกว่าเมื่อวาน ทำให้ต้องรีบๆ ขาย ตัวผู้เขียนไม่ได้คิดอยากจะได้อะไรติดไม้ติดมือมาสักกะชิ้น เพราะเห็นว่าสินค้าของเขาก็คล้ายกันกับของเรา แต่ก็อุตส่าห์ได้ซื้อของฝากกับเขาหนึ่งชิ้นให้เจ๊ไฝ(อันนี้ร่วมกันซื้อกับพี่หวาดเพราะโดนคนรับของฝากบังคับมา 555)

พอซื้อเสร็จมองหากลุ่มพี่คนอื่นๆ ก็มองไม่เห็นใครนอกจากพี่วัฒน์กับพี่หวาด ก็เลยชวนกันไปกินข้าวเย็นที่ร้านริมโขงกันสามคน กับข้าวที่สั่งก็ไม่หรูเลิศอะไร แค่สั่งอาหารจานเดียวสำหรับแต่ละคน แต่คนลาวนี่อุปนิสัยน่ารักจริงๆ (ยกเว้นตาคนที่เล่าเมื่อตอนก่อนนะ) ให้บริการเรายังกับเราสั่งหูฉลาม เป็ดย่างอะไรยังเงี้ยเลย เลยทำให้เราเกรงใจจริงๆ แถมนะยังไปขอเข้าห้องน้ำที่บ้านเขาตรงอีกฝั่งถนนตรงข้ามกับร้านอีกต่างหาก (ที่ร้านไม่มีบริการห้องน้ำ)เสร็จเรียบร้อยจากอาหารค่ำแล้วเราก็พากันเดินกลับมาที่พัก พอมาถึงก็เจอกับพวกพี่ๆ เขาอีกสามคน ก็เลยนัดแนะกันว่ารุ่งเช้าบุญจะมารับพวกเราออกจากที่พักแต่เช้ามืดเลย ตั้งแต่ตีห้าแน่ะ ก็เลยรีบแยกย้ายกันเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องนั่งรถกันอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวียงจันทน์

รุ่งเช้าเราออกจากที่พักวิลลาพิไลลักษณ์ตรงตามเวลาที่นัดหมาย แต่ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากหลวงพระบางต้องหาอาหารเช้าใส่ท้องก่อน ดังนั้นบุญเลยพาเรามาร้านขายเฝอและข้าวเปียกที่เรามากินเมื่อเช้าวาน ก่อนไปกินกาแฟที่ประชานิยม เพราะว่าคุ้นเคยรสชาติดีแล้วไม่ต้องเลือกมาก ตอนที่ผ่านมาไม่ได้เล่ารายละเอียดของร้านนี้เพราะผู้เขียนไปให้ความสำคัญของร้านกาแฟประชานิยมซะมากกว่า ดังนั้นตอนนี้จะเล่าให้ฟังสักหน่อย

ร้านนี้เขามีชื่อร้านนะ แต่จำไม่ได้ ก็เป็นห้องแถวธรรมดา ที่หน้าร้านมีตู้ขายเฝอตั้งอยู่ ส่วนหน้าร้านก็จะมีเป็นของทอด (ชื่ออะไรจำไม่ได้อีก) คือรูปร่างของของทอดนี้เนี่ยมันจะเป็นท่อนรีรี รสชาติจะกึ่งๆ กะหรี่พัฟบ้านเรา แต่ก็ยังไม่ใช่ซะทีเดียว ผู้เขียนคิดว่าถ้าเปรียบเทียบรสชาติตัวข้างนอกที่ห่อหุ้มไส้ข้างในน่าจะใกล้เคียงกับ hash brown ที่เป็นของเช้าของคนอเมริกัน ไม่แน่ใจว่าในประเทศเราร้าน fast food มีหรือเปล่า แต่ที่อเมริกาเนี่ยจะมีเสิร์ฟให้เฉพาะตอนเช้า เนี่ยรูปร่างจะประมาณเนี้ย



ที่นี่เขาอาจจะประยุกต์มาจาก hash brown ก็ได้ แถมขายตอนเช้าเหมือนกันอีก ที่ร้านนี้เขาก็มีโต๊ะบริการลูกค้าข้างในกับข้างนอกเหมือนบ้านเราทั่วไป แต่ดูเหมือนคนจะชอบนั่งข้างนอกมากกว่า รวมทั้งพวกเราด้วย โต๊ะที่นั่งก็เตี้ยๆ สูงกว่าโต๊ะญี่ปุ่นหน่อยนึง แต่พวกเราก็ชอบ บรรยากาศก็ดี ลมพัดเย็นๆ ไม่มีฝุ่นมลพิษเหมือนกรุงเทพฯ นั่งๆ อยู่ก็มีแม่ค้าหาบกระจาดบรรจุไคแผ่นมาขาย แต่เราก็ไม่ได้ซื้อ



อาหารที่เราสั่งก็เป็นเมนูเดิมเหมือนเมื่อเช้าวาน คือเฝอกับข้าวเปียก แค่คนละชามแถมไปด้วยขนมทอดนั่นอีก บวกกับที่พี่นิสั่งขนมปังฝรั่งเศส baguette ที่ใส่สารพัดไส้ราดด้วยมายองเนส แค่นี้ก็อิ่มอร่อยแล้ว เสร็จจากอาหาร พวกพี่ๆ เขาก็สั่งกาแฟลาวมากินกัน ป้าศรีชักชวนให้ผู้เขียนสั่งกาแฟมากินด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะกลิ่นกาแฟหอมยั่วยวนใจ ทำให้คนคอกาแฟอย่างผู้เขียนอดรนทนไม่ได้ เลยต้องสั่งมากินร่วมกันกับพี่ๆ เขา หารู้ไม่ว่ากาแฟแก้วนั้นมันจะสร้างปัญหาตามมาภายหลัง อุตส่าห์อดทนมาได้ตั้งแต่ที่อุดรธานีแล้วนะ มาสมาธิเสียก็ตอนนี้นี่เอง

พอเริ่มเห็นตะวันขึ้นเรื่อเรือง ก็พอดีกับที่เราเสร็จจากอาหารเช้าและพร้อมที่จะนั่งรถแบบมาราธอนเพื่อไปถึงเวียงจันทน์แบบม้วนเดียวจบ (คุ้นไม๊สำนวนแบบนี้พี่น้อง 555)

บุญขับรถพาพวกเรามุ่งหน้าสู่เส้นทางเดิมที่เป็นเทือกเขา ผ่านนับร้อยๆ โค้งเพื่อให้ถึงเวียงจันทน์ก่อนช่วงเย็น โดยทิ้งหลวงพระบางเมืองที่น่าประทับใจไว้เบื้องหลัง ระหว่างทางพวกเราบันทึกภาพประทับใจของขุนเขาไว้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว หมอกที่ปกคลุมเทือกเขาแต่ละลูกดูสวยงามมากๆ



ระหว่างทางผู้เขียนได้บันทึกภาพที่สวยงามของธรรมชาติด้วยความเพลิดเพลิน หลังจากมีความสุขกับภาพอันสวยงามของธรรมชาติได้ไม่ทันเท่าไหร่ เอาแล้ว มันมาแล้ว เหงื่อเริ่มซึมตามไรผม มือเท้าเย็น ตอนนี้รู้สึกนั่งไม่เป็นสุขแล้ว ผู้เขียนอยู่ในอาการแบบนั้นไปได้สักระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองมีเสียงสวรรค์จากผู้โดยสารแถวหลังโพล่งขึ้นมาว่า "เฮ้ย ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวบุญหาป่าละเมาะที่เหมาะๆ หน่อยนะ ปวดฉี่" โอ้โหขอบคุณพระเจ้าจอร์จ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครที่พูดคำนี้ขึ้นมาช่างถูกใจข้าพเจ้านัก เพราะเราก็ปวดฉี่เหมือนกันแต่ไม่กล้าบอกอะ

มาถึงตรงนี้ขอบอกสิ่งที่ค้างไว้ของตอนเก่าเรื่องทำไมผู้เขียนถึงไม่กินกาแฟ มันก็คือว่าเวลากินกาแฟไปแล้วเนี่ยผู้เขียนจะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยมากๆ เพราะกาแฟเป็นสารกระตุ้นปัสสาวะ (อันนี้ฟังพี่ตุ่นมาอีกที) ถ้าใครรู้จักและสนิทกับผู้เขียนเนี่ยจะรู้ว่าถ้าต้องเดินทางไปไหนไกลๆ หาห้องน้ำไม่ค่อยได้ หรือประเภทต้องเข้าประชุม ที่การเดินเข้าเดินออกระหว่างห้องประชุมกับห้องน้ำบ่อยๆ ดูไม่ค่อยงาม ช่วงก่อนหน้ากิจกรรมนั้นๆ ผู้เขียนจะงดกาแฟ จะไม่กินโดยเด็ดขาด

และแล้วผู้โดยสารทั้งสี่ ยกเว้นพี่นิ กับพี่อ้อย (คนนี้เล่าให้ฟังว่าถ้าไม่ใช่ห้องน้ำที่เป็นกิจจะลักษณะจะฉี่ไม่ออก ถึงแม้จะปวดมากแค่ไหนก็ตาม) ก็จัดแจงทำธุระท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอย่างมีความสุข และก็นั่งรถต่อไป หลังจากแวะทำกิจกรรมส่วนตัวแบบนี้ไปครั้งแรกแล้ว ผู้เขียนจำต้องทำกิจกรรมกลางทางนี้อีกครั้งหนึ่งเพราะกาแฟมันยังไม่หมดฤทธิ์ จนพี่วัฒน์พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจว่าทำไมตอนขากลับผู้เขียนถึงอยากเข้าห้องน้ำบ่อย ในขณะที่ตอนขาไปไม่มีปัญหาเลย

เสร็จสิ้นเรื่องกาแฟเจ้าปัญหาแล้ว เราก็เดินทางต่อไป ขากลับเนี่ยดูเหมือนบุญจะขับรถเร็วขึ้นกว่าตอนไป ไม่ช้าไม่นานเราก็มาแวะพักรถแป๊ปนึงที่สามแยกพูคูณที่เราเคยแวะพักมาแล้วตอนขาไป ที่นี่บุญแวะซื้อของป่าจะกลับไปทำเป็นอาหารเย็น ผู้เขียนก็แวะมั่งเพราะตอนขาไปเล็งไว้แล้วว่า มีชาวเขานำหัวเผือกมาขายดูน่ากินมาก ลองซื้อสักสองสามหัวกลับไปกรุงเทพฯ ให้พ่อไปต้มทำเป็นเผือกน้ำกะทิ คัดเลือกเป็นอย่างดีได้มาสามหัวเล็กๆ มั่นใจว่า จะต้องร่วนน่ากินแน่ๆ หลังจากที่พูดจาเรื่องราคาค่าเผือกกับชาวเขาที่เป็นคนขายอยู่เป็นนานสองนานเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ได้เผือกมาสามหัวในมูลค่ายี่สิบบาท อุตส่าห์หิ้วมาจนถึงบ้านที่กรุงเทพฯ พอมาถึงก็ให้พ่อต้มทันทีเลยนะ พ่อก็ดี๊ดีต้มให้ทันที พอสุกแล้วก็รีบถามพ่อว่า
"เป็นไงพ่อ เผือกร่วนดีเลยไม๊"
"ร่วนเริ่นที่ไหนกัน ดูสิเนี่ยเป็นตับเป็ดทั้งสามหัวเลย โธ่เอ้ย อุตส่าห์หอบหิ้วมาตั้งไกล" พ่อตะโกนตอบมา

สรุปแล้วเผือกสามหัวนั่นกินไม่ได้ ต้มเสร็จแล้วต้องทิ้งไปหมดเลย เปลืองค่าน้ำ ค่าแก๊สจริงๆ เลย

ไม่มีความคิดเห็น: