วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คาร์บอน สินค้าตัวใหม่ในภาวะโลกร้อน


"ร้อน ทำไมมันร้อนอย่างนี้ ร้อน จริงจริงเลยเนี่ย" เพื่อนของผู้เขียนส่งเสียงมาแต่ไกล ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผู้เขียนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

"ร้อนอะไร ร้อนกายหรือร้อนใจล่ะ" ผู้เขียนถามกลับไป

"ก็ทั้งสองอย่างแหละ แต่ร้อนกายมากกว่า ลองมองดูสิเนี่ย แดดร้อนเปรี้ยงออกยังเงี้ย ไม่บ่นแล้วทนไหวหรือ" พูดจบพลางคว้าแก้วเครื่องดื่มชามะนาวเย็นของผู้เขียนไปดูดเกือบหมดแก้ว

"อ้าว ยังงี้มันหงุดหงิดบริโภคนี่" ผู้เขียนต่อว่าเพื่อนทันที "มันเป็นยังไงไอ้หงุดหงิดบริโภคเนี่ย ชั้นเห็นเขามีแต่ตลกบริโภค" เพื่อนผู้เขียนสวนกลับทันที

"ก็ไอ้ตลกบริโภคเนี่ย ก็เป็นกิริยาอาการของคนตะกละตะกรามเที่ยวหลอกกินของชาวบ้านโดยอาศัยมุขตลกของตัวเองหลอกล่อชาวบ้านให้หันเหไปสนใจมุขตลกของตัวเอง แต่สำหรับคุณแกเนี่ยก็ใช้มุขหงุดหงิดเรื่องอากาศร้อน หันเหความสนใจของฉัน แล้วแกก็มาแย่งดูดน้ำของฉันอยู่นี่ไง"

"เฮ้ย นี่ดีนะว่าเราคุยกันอยู่แค่สองคน แกไม่ควรใช้คำสั้นๆ ว่าดูดน้ำของแก มันตีความเป็นอย่างอื่นได้นา 555"

"โธ่ คุณช่างเป็นคนลามกซะจริงๆ" ผู้เขียนโยนคำสรรเสริญกลับไป (ที่จริงใช้คำพูดอีกแนวหนึ่ง)

"พูดถึงเรื่องร้อนแล้ว ก็จริงของแกเนอะ ว่าอากาศมันร้อนมากจริงๆ นับวันๆ มันก็จะยิ่งร้อนเพิ่มขึ้น ก็ตอนนี้เราอยู่ในภาวะโลกร้อนนี่"

"เออ แก ก็ในเมื่อโลกมันร้อนอย่างนี้แล้ว ฉันไม่เห็นใครจะทำอะไรจริงจังเพื่อช่วยแก้ปัญหาซักที ทั้งๆ ที่เขาก็มีพันธะกรณีของพิธีสารเกียวโตนะ" เพื่อนผู้เขียนเปรยขึ้นมาแบบนักวิชาการ ซึ่งดูเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาหน่อย

"มันก็จริง แต่เท่าที่ฉันรู้ ก็มีบางประเทศที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เขาก็ให้ความสำคัญกับพิธีสารตัวนี้นะ แต่รู้สึกสหรัฐกับออสเตรเลียยังไม่ได้ให้สัตยาบันพิธีสารตัวนี้ ทั้งๆ ที่สองประเทศอุตสาหกรรมนี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมามากแลย

"อืม ใช่ ซึ่งชั้นก็รู้มาว่า พิธีสารตัวนี้เนี่ยเขาพยายามที่ผลักดันให้เกิดการปฏิบัติตามพิธีสารโดยการสร้างกลไกเพื่อที่จะบรรลุเป้าประสงค์ของพิธีสาร" เพื่อนผู้เขียนกล่าว

"มันมีอยู่สามอย่างใช่ไม๊ อย่างแรกคือ การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่ให้สัตยาบันเพื่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติ หรือที่เขาเรียกว่า Joint Implementation หรือ JI อย่างที่สองคือ การค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก หรือ Emissions Trading หรือ ET และอย่างสุดท้ายคือ กลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ Clean Development Mechanism ย่อว่า CDM

"กลไกตัวที่สอง ET ใช่ ET หนังมนุษย์ต่างดาวสมัยเราเด็กๆ เปล่า 555"

เพื่อนผู้เขียนเสริมต่อว่า "ตอนนี้หลายๆ ประเทศเขาเริ่มสนใจกับกลไกตัวที่สองกับที่สามนะ คือการค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซกับกลไกการพัฒนาที่สะอาดน่ะ"

"ไหนลองอธิบายเพิ่มซิ" ผู้เขียนพูดขึ้น

"ค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าคาร์บอนเครดิต เป็นกระบวนการที่ซื้อขายคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นสินค้าที่คนในแวดวงโรงงานอุตสาหกรรมให้ความสนใจกันมากเลย"

"อ๊ะไม่ต้องเลย เดี๋ยวจะอธิบายต่อ" เพื่อนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นผู้เขียนทำท่าจะซักถามต่อ

"คือในพิธีสารเกียวโตเนี่ย กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วที่ให้สัตยาบัน ให้ลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปริมาณที่กำหนดกันไว้ พวกประเทศเหล่านี้ก็เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน ประเทศสมาชิกอียู แต่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยเราน่ะ เขายังไม่ได้กำหนดมา ดังนั้นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาเหล่านี้ก็เลยมีปริมาณ "คาร์บอน" เพื่อนำไปขายให้กับประเทศที่พัฒนาแล้วในกรณีที่เขาต้องการเพิ่มการปล่อยก๊าซ เพราะประเทศพวกนี้เขามีแหล่งกำเนิดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนอยู่มากทีเดียว



"แล้วมันมีแหล่งกำเนิดอะไรบ้าง" ผู้เขียนซัก

"มันก็มีอยู่หกประเภท ก็คือ กิจกรรมการผลิตและใช้พลังงาน กระบวนการอุตสาหกรรม การผลิตและการใช้สารทำละลาย กิจกรรมการเกษตร ป่าไม้และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และก็ของเสีย" เพื่อนให้คำอธิบาย

"แล้ว..." ผู้เขียนทำท่าจะซักต่อ "พอเลย พอเลย ตั้งแต่มาเนี่ย นอกเหนือจากชามะนาวแกแล้ว น้ำสักแก้วยังไม่ได้มาให้เพื่อนกินเลย ฉันคอแห้งจะตาย เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่ ไปเอาน้ำมาให้กินก่อน" เพื่อนผู้เขียนโวยวาย

"เอ แล้วเปิดๆ ปิดๆ ตู้เย็นเพื่อเอาน้ำมาให้แกเนี่ย มันทำให้โลกร้อนขึ้นหรือเปล่า" ผู้เขียนรีบเดินออกไปก่อนที่เพื่อนจะขว้างอะไรมาใส่หัว เอาน่าเดี๋ยวค่อยมาฟังเพื่อนโม้เรื่องนี้ต่อก็ได้

(ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย, วิชาการดอทคอม)

ไม่มีความคิดเห็น: